ปัญหาในการจัดการมรดก

ปัญหาในการจัดการกับทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ รวมทั้งความรับผิดชอบต่างๆ ที่เรียกโดยรวมว่า กองมรดก ของผู้ที่ถึงแก่ความตายหรือสาบสูญนั้น มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนส่งผลให้ในแต่ละปีมีการร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกขึ้นสู่ศาลเป็นจำนวนมาก ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 - 2553 มีคดีขอจัดการมรดกขึ้นสู่ศาลมากถึง 318,682 คดี โดยในปี พ.ศ. 2553 มีคดีขอจัดการมรดกมากที่สุดถึง 72,594 คดี
เมื่อบุคคลใดตาย หรือศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท จึงมีปัญหาว่าทายาทผู้รับมรดกจะจัดการอย่างไรกับทรัพย์มรดก

กองมรดก อาจหมายถึง ทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดซึ่งไม่เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตาย เช่น กรรมสิทธิ์ในบ้าน รถยนต์ บัญชีเงินฝากในธนาคาร อาวุธปืน ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร สิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้มีอยู่เหนือลูกหนี้ เป็นต้น

ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกอาจจะเป็นทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม กฎหมายกำหนดว่าทายาทโดยธรรมมี 6 ลำดับ คือ (1) ผู้สืบสันดาน (2) บิดามารดา (3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน (4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน (5) ปู่ย่าตายาย (6) ลุงป้าน้าอา ส่วนคู่สมรสนั้นหากทายาทโดยธรรมยังมีชีวิตอยู่ ลำดับและส่วนแบ่งของคู่สมรสในการรับมรดกให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด แต่หากไม่มีทายาทโดยธรรมคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีสิทธิได้รับมรดก เว้นแต่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกมรดกทั้งหมดให้แก่บุคคลอื่น

กองมรดกที่มีทรัพย์สินไม่มากนัก ไม่มีหนี้สินหรือทายาทปรองดองกัน การจัดการทรัพย์มรดกก็ไม่มีความยุ่งยาก ตรงกันข้ามหากกองมรดกนั้นมีทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน คือ เป็นทั้งเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ผู้อื่นอยู่ ก็อาจเกิดปัญหาในการรวบรวมทรัพย์มรดกและการติดตามทวงหนี้ที่กองมรดกเป็นเจ้าหนี้ จึงต้องมีการจัดการทรัพย์มรดกก่อนแบ่งกันระหว่างทายาท

ปัญหาในการจัดการทรัพย์มรดกหรือติดตามทวงถามหนี้สินที่บุคคลอื่นเป็นหนี้เจ้ามรดกอยู่นั้นมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เช่น ถูกเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินปฏิเสธไม่ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ผู้รับมรดก หรือธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าผู้นั้นเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

ผู้ร้องมีส่วนได้เสียในกองมรดกและเมื่อมีเหตุขัดข้องในการจัดการทรัพย์มรดก ผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2733/2548

การขอตั้งผู้จัดการมรดกต้องยื่นต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ในกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่ทรัพย์มรดกตั้งอยู่

กองมรดกที่ไม่มีทายาทนั้น แม้มรดกจะตกทอดแก่แผ่นดิน แผ่นดินก็มิใช่ทายาท เจ้าหนี้ไม่อาจบังคับชำระหนี้ได้จนกว่าจะได้ตั้งผู้จัดการมรดกขึ้น และหากไม่มีผู้จัดการมรดกอยู่ตราบใดเจ้าหนี้ก็ไม่มีทางได้รับชำระหนี้ได้เลย การที่เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้จากกองมรดกขึ้นอยู่กับการที่กองมรดกมีผู้จัดการมรดก ในกรณีเช่นนี้ จึงต้องถือว่าเจ้าหนี้เป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้ ส่วนปัญหาที่ว่าสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่นั้น แม้ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้กองมรดกซึ่งตามปกติย่อมมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก แต่เมื่อไม่ปรากฏว่ามีผู้มีส่วนได้เสียอื่นอีก และพนักงานอัยการมิได้คัดค้าน จึงสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1695/2531 (ประชุมใหญ่)

ผู้ร้องเป็นภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดก อยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส แม้ไม่ใช่ทายาทโดยธรรมแต่มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินร่วมกัน ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2520

หน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่สำคัญๆ ได้แก่ หาตัวทายาท รวบรวมทรัพย์มรดกตลอดจนติดตามทวงหนี้ที่กองมรดกเป็นเจ้าหนี้ ทำบัญชีทรัพย์มรดกและบัญชีการจัดการ ชำระหนี้กองมรดกให้แก่เจ้าหนี้ และแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท เป็นต้น

การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก ผู้มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก ได้แก่ ทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดกที่มีสิทธิรับมรดก เช่น บุตร บิดามารดา คู่สมรสของเจ้ามรดกผู้รับพินัยกรรมของเจ้ามรดก ซึ่งอาจเป็นบุคคลภายนอกก็ได้ ผู้มีส่วนได้เสีย หมายถึง เจ้าของร่วมในทรัพย์สินของเจ้ามรดก เช่น กรณีที่สามีภริยาไม่จดทะเบียนสมรสและมีทรัพย์สินร่วมกัน หรือพนักงานอัยการสามารถขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกได้

เมื่อยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว ศาลจะทำการไต่สวน โดยทั่วไปศาลจะไต่สวนหลังจากรับคำร้องประมาณ 1 เดือน เนื่องจากมีขั้นตอนการประกาศหนังสือพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้มีผู้คัดค้านได้ การไต่สวน ผู้ร้องจะต้องมาศาลและนำพยานอื่น เช่น ทายาทคนอื่นๆ มาด้วย เพื่อไต่สวนว่ายินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก

นิติบุคคลก็อาจเป็นผู้จัดการมรดกได้เพราะไม่มีกฎหมายห้าม เช่น วัดโดยเจ้าอาวาสหรือสภากาชาดไทยซึ่งเป็นนิติบุคคลก็เป็นผู้จัดการมรดกได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2524 (ประชุมใหญ่) และ 3166/2529

เมื่อศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว ผู้จัดการมรดกสามารถนำคำสั่งศาลไปแสดงเป็นหลักฐานต่อธนาคารเพื่อเบิกเงินของเจ้ามรดก หรือยื่นต่อเจ้าพนักงาน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจัดการทรัพย์มรดกดำเนินต่อไปได้

หากผู้จัดการมรดกปล่อยปละละเลย ไม่ดำเนินการจัดการมรดก หรือจัดการมรดกเสียหาย ประมาทเลินเล่อในการจัดการมรดก หรือทุจริตในการจัดการมรดก เช่น เบียดบังเอาเป็นของตนเองบ้าง ผู้จัดการมรดกอาจถูกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก และยังเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ การถอนผู้จัดการมรดกต้องดำเนินการก่อนการแบ่งปันทรัพย์มรดกเสร็จสิ้นลง

การที่กฎหมายกำหนดเกี่ยวกับการตั้งผู้จัดการมรดกไว้ ก็เพื่อให้การแบ่งปันทรัพย์มรดกเป็นไปด้วยความเรียบร้อยเป็นธรรม โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้

ในกรณีที่ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเอง ระบุผู้จัดการมรดกหรือระบุให้บุคคลใดเป็นผู้ตั้งผู้จัดการมรดก หรือการอื่นๆ อันจะบังคับได้เมื่อผู้ทำพินัยกรรมถึงแก่ความตายไว้ การจัดการทรัพย์มรดกต้องเป็นไปตามเจตนาและความมุ่งหมายของผู้ตายที่กำหนดไว้ในพินัยกรรมนั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2826/2517 และ 5120/2539

ดังนั้น ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียอาจขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อจัดการกองมรดก เมื่อมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดกและผู้ร้องต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมาย


โดย สราวุธ เบญจกุล  www.manager.co.th

เรื่อง ..."รองฯ เทวินทร์"...

เรื่อง ..."รองฯ เทวินทร์"...

“เทวินทร์” ย้ายมาอยู่ที่สถานีตำรวจภูธร “ม่วงสี่สิบสาม”
แห่งนี้ได้ 5 เดือนเศษๆ แล้ว ในตำแหน่งรองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม
นับตั้งแต่วันที่เขาย้ายมาจนถึงวันนี้ สถานที่ทำงาน เพื่อนร่วมงาน
ตลอดจนสิ่งแวดล้อมในการทำงานไม่มีอะไรที่สร้างปัญหาต่อเขาเลยทั้งสิ้น
โรงพักแห่งนี้เป็นโรงพักที่มีการจัดระบบในทุกๆ เรื่องเป็นอย่างดี
ซึ่งคงต้องยกเครดิตให้กับผู้กำกับการหัวหน้าสถานีแห่งนี้
ที่เป็นรุ่นพี่ของเขา 3 รุ่น ด้วยความที่จบการศึกษาจากสถาบันเดียวกัน ทำให้เขาและ ผู้กำกับการหัวหน้าสถานี สนิทสนมคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว
ประกอบกับตอนเรียนก็เคยเห็นหน้าเห็นตา เคย “จวก” กันมาบ้างแล้ว
จึงยิ่งทำให้เกิดความแน่นแฟ้นเข้าไปใหญ่

เขายังจำวันที่โรงพักจัดงานเลี้ยงตอนรับเขาได้เป็นอย่างดี
ในงานมีผู้คนทั้งตำรวจและไม่ใช่ตำรวจมาร่วมงานกันอย่างมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
รวมไปถึงพ่อค้า นักธุรกิจชื่อดังในอำเภอ ซึ่งเขาจำหน้าได้ไม่หมด
ในวันงาน ผู้กำกับฯ ยังแซวเขาเสียงดังต่อหน้าคนอื่นว่า
ให้ระวังตัวให้ดี ท่าทางจะเป็นโสดได้ไม่นาน เพราะอำเภอนี้มีสาวสวย
เยอะมาก... เขาหัวเราะเบาๆ เพราะเคยชินเสียแล้วกับคำพูดในลักษณะนี้
เนื่องจากตัวเขาเองนั้นจัดได้ว่าเป็นหนุ่มโสดที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง
รูปร่าง สูงใหญ่ สมส่วน นี่หากเขาไม่เป็นตำรวจ
เขาคงเข้าวงการบันเทิงได้อย่างสบาย

ที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะอยู่โรงพักแห่งใด ก็มักจะมีสาวแก่แม่ม่าย
แวะเวียนเข้ามาขายขนมจีบให้เขาอย่างไม่ขาดสาย แต่เขาก็ยังคง
ไม่สนใจใคร และมุ่งมั่นทำงานอย่างเดียว จนพ่อแม่เขาเริ่มบ่น
ว่าอยากอุ้มหลานเสียที เนื่องจากอายุอานามของเขาก็มากพอสมควรแล้ว
อยู่โรงพักแห่งนี้ได้ไม่นาน ก็เข้าอีหรอบเดิมอีก คือมีสาวแก่แม่ม่าย
ในอำเภอ เข้ามารุมตอมเขาอีกเช่นเคย บางคนทำทีเป็นมาแจ้งความ
กับเขา ทั้งที่เขาไม่ใช่พนักงานสอบสวนสักหน่อย บางคนขอเชิญ
ไปเที่ยวบ้าน บางคนขอให้ไปตรวจแถวบ้านบ่อยๆ โดยอ้างว่า
มีพวกลักเล็กขโมยน้อยชุกชุม ซึ่งเขาก็รู้แกวและตกปากรับคำ
แบบไม่ให้เสียน้ำใจ แต่ก็ไม่ได้คิดจะจริงจังกับใคร
แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขารู้สึกสนใจเป็นพิเศษ เหตุเพราะ
เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาดี อายุอยู่ในราว 20 ปลายๆ ทำธุรกิจ
หลายอย่างอยู่ในอำเภอนั้น ฐานะจัดว่ารวยเข้าขั้นเศรษฐีเลยทีเดียว
ที่สำคัญคือ เธอยังครองตัวเป็นโสด ....

“พัชราภา” คือชื่อของเธอคนนั้น

 
พัชราภาเองก็ดูจะสนใจเขาไม่น้อยเหมือนกัน คำว่า “ไม่น้อย”
หากจะเปลี่ยนไปใช้คำว่า “มาก” ก็คงไม่น่าเกลียด เพราะพัชราภา
พยายามทอดสะพานให้เขาอย่างเปิดเผย เธอขับรถยนต์สปอร์ต
สีแดงสดมาหาเขาที่โรงพักและรับเขาออกไปทานอาหารด้วย
อยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็ไปนั่งรอในห้องทำงานของเขาทั้งวัน
โดยอ้างว่าจะมาขอคำปรึกษา ซึ่งตัวเขาก็ไม่เคยขัดข้องหรือ
แสดงท่าทีรังเกียจแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขาตอบรับมิตรจิตมิตรใจ
ของพัชราภาด้วยความยินดี จนคนในโรงพักเริ่มมองออกแล้วว่า
เขากับพัชราภาคงไม่แคล้วต้องตกร่องปล่องชิ้นกันอย่างแน่นอน
แต่ทุกคนก็ล้วนชื่นชมยินดี เพราะเขากับพัชราภาจัดเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก ไม่ว่าจะมองในมุมใด

หลังจากคบหาดูใจกันได้หลายเดือน เย็นวันนั้น หลังจากเสร็จสิ้น
การประชุมประจำสัปดาห์ พัชราภาก็ขับรถสปอร์ตคันหรูมาจอดรอ
รับเขาที่หน้าโรงพักอีกเช่นเคย เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างอมยิ้ม
ไปตามกันเมื่อเห็นรถซึ่งทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเป็นรถของใคร
ก่อนจะเดินลงจากโรงพัก ผู้กำกับฯ ได้เดินอมยิ้มเข้ามาพูดกับเขา
เบาๆ อย่างมีความหมายว่า “ฝากดูแลคุณพัชราภาด้วยนะ”
เขายิ้มเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร

เมื่อเดินมาถึงรถ เปิดประตูรถเข้าไปนั่งยังไม่ทันไร เสียงหวานใส
ดังทักทายขึ้นมาทันที

“ทำไมวันนี้ให้อั้มรอนานจังคะ”
“ขอโทษจริงๆ ครับ คุณอั้ม พอดีผู้กำกับฯ ท่านประชุมนานไปหน่อย” เขาตอบ
“งั้นวันนี้ อั้มขอทำโทษท่านรองฯ โดยขออนุญาตพาท่านรองฯ ไปทานข้าวที่บ้านอั้มนะคะ”
“เอ้อ จะดีหรือครับ ผมเกรงใจคุณอั้ม ลำบากคุณอั้มเปล่าๆ”
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ พอดีวันนี้ ทุกคนในบ้านอั้มไปเที่ยวต่างประเทศ
กันหมดเลย เหลืออั้มอยู่บ้านคนเดียว อั้มรู้สึกเหงาน่ะค่ะ ก็เลย
อยากให้ท่านรองฯ ไปทานข้าวเป็นเพื่อนอั้มหน่อย”

พูดเสร็จก็ส่งสายตาหวานเยิ้มให้ท่านรองฯ อย่างไม่ปิดบัง

“ถ้าเป็นความต้องการของคุณอั้ม ผมก็ไม่ขัดข้องครับ”

จากนั้น สาวอั้มก็ไม่พูดอะไรอีก ขับรถออกจากโรงพักมุ่งตรง
ไปยังบ้านพักของเธอในทันที ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทั้งคู่ก็นั่งอยู่ในห้อง
รับประทานอาหารในบ้าน ซึ่งควรจะเรียกว่า”คฤหาสน์” ของ ฝ่ายหญิง
ทานข้าวด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศอันสุดแสนจะหวานชื่น
เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว ก็ตบท้ายด้วยไวน์แดงรสเลิศแก้วแล้ว
แก้วเล่า ทั้งคู่ส่งสายตาหวานฉ่ำให้กันอย่างไม่ปิดบัง คงไม่ต้องบรรยายต่อให้มากความ

เพราะคืนนั้น “เทวินทร์” ก็ "ตกเป็นของ” อั้มอย่างเต็มใจ

หลังจากคืนนั้น ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนต่อมา ทั้งคู่ต่างก็ “เป็นของกันและกัน” อีกหลายครั้ง จนใครๆ ก็ดูออกว่า เทวินทร์กำลังหลงเสน่ห์ของอั้มอย่างหัวปักหัวปำ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ชี้ควายเป็นควาย อั้มชี้อะไรเทวินทร์ก็เห็นเป็นอย่างนั้นไปหมด ....

คืนวันหนึ่ง ขณะที่ทั้งคู่นอนคุยกันอยู่บนเตียง หลังจาก “เป็นของกันและกัน” แล้ว อั้มก็พูดขึ้นว่า

“เทวินทร์คะ คุณคิดว่าจะเป็นตำรวจไปตลอดชีวิตเลยหรือเปล่าคะ”

"ผมรักอาชีพนี้ครับ และตั้งใจว่าคงจะเป็นตำรวจตลอดไป”

“แต่ตำรวจเงินเดือนน้อยนะคะ เงินเดือนคุณยังไม่พอค่าเครื่องสำอางของอั้มเลย”

"ทำไงได้ล่ะครับ ผมเป็นข้าราชการนี่ครับ แล้วก็ไม่ได้มีรายได้พิเศษอะไร”

“คุณอยากจะมีรายได้พิเศษบ้างมั้ยล่ะคะ อั้มคิดว่า อั้มพอแนะนำคุณได้นะ”

“ทำยังไงเหรอครับ”

พัชราภาไม่ตอบ แต่เดินไปหยิบยาเม็ดสีแดงปนน้ำตาล มาส่งให้เทวินทร์ 1 เม็ด เทวินทร์รับมาแล้วมองอย่างงงๆ

“นี่อะไรครับ”

“แหม คุณเป็นตำรวจ ยังไม่รู้อีกเหรอคะว่านี่มันก็คือยาบ้าไง”

เทวินทร์สะดุ้งเฮือกสุดตัว แล้วพูดขึ้นว่า

“ นี่คุณอั้มเอามาได้ยังไงครับเนี่ย มันผิดกฎหมายนะครับ”

“อั้มไม่ได้มีแค่เม็ดเดียวนะคะ อั้มมีเป็นพันเป็นหมื่นเม็ดเลย เพราะอั้มเป็นเอเย่นต์ขายยาบ้าประจำจังหวัดนี้ค่ะ”

“คุณอั้มพูดเล่นหรือเปล่าครับเนี่ย นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะครับ”

พอเห็นเขาทำหน้าตาขึงขัง เธอก็ใจฝ่อ โผเข้าไปกอดเขา
เอาหน้าซบไปที่หน้าอกของเขาแล้วพูดเสียงเครือว่า

“อั้มจำใจต้องทำค่ะ เพื่อพยุงฐานะของครอบครัวไว้ หลายปีที่ผ่านมา
กิจการค้าที่บ้านของอั้มไม่ดีเลย หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป
บ้านอั้มคงหมดตัวแน่นอน อั้มจึงจำเป็นต้องหาอาชีพเสริมค่ะ
หวังว่าเทวินทร์คงจะเข้าใจอั้มนะคะ จริงๆ อั้มก็ไม่อยากทำหรอกค่ะ”

เสียงของเธอสั่นเครือมากขึ้น น้ำตาเริ่มจะคลอเบ้า เทวินทร์เห็นน้ำตาก็ใจอ่อน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า

“แต่มันผิดกฎหมายนะครับ คุณอั้ม ถ้าตำรวจรู้เข้าละก็ คุณติดคุกแน่ๆ เลย ผมไม่อยากให้คุณเสียอนาคต”

“แล้วเทวินทร์จะปล่อยให้อั้มติดคุกเหรอคะ อั้มรักเทวินทร์นะคะ อั้มถึงยอมเปิดเผยความลับเรื่องนี้ “

พอได้ยินคำว่ารัก เทวินทร์ก็แทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง

“แล้วคุณอั้มเอาเรื่องนี้มาบอกผมทำไมล่ะครับ เก็บไว้เป็นความลับตลอดไปก็ได้”

“ที่อั้มบอกคุณ ก็เพราะอยากให้คุณช่วยอั้มน่ะค่ะ หลายเดือนมานี้ตำรวจออกตรวจกันถี่ยิบ พูดตรงๆ ก็ตั้งแต่คุณย้ายมานั่นแหละ ทำให้การค้าของอั้มทำได้ไม่สะดวก ลุกค้าหายไปมาก หากเทวินทร์จะช่วยอั้มโดยสั่งลูกน้องให้เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ทำเป็นไม่สนใจ ก็จะช่วยอั้มได้มากเลยค่ะ อั้มขอคุณแค่นี้แหละค่ะ ไม่ขออะไรไปมากกว่านี้หรอก เพราะรู้ว่าคุณลำบากใจ”

ท้ายประโยคมีน้ำเสียงตัดพ้อปนอยู่นิดๆ

“ก็ได้ครับ แต่ว่าคุณอั้มต้องสัญญากับผมว่าจะต้องทำไม่นานนะครับ ทางที่ดีควรจะเลิกไปเลยดีกว่า”

“อั้มเองก็ไม่อยากทำหรอกค่ะ แต่ว่ามันจำเป็น แต่อั้มให้สัญญาค่ะว่าจะเลิกทำแน่นอน หากการเงินของครอบครัวไม่มีปัญหาแล้ว และที่สำคัญเพื่ออนาคตของเราด้วยไงคะ เทวินทร์”

ฟังคำพูดของอั้มแล้ว แม้จะยังไม่แน่ใจว่าอั้มจะเลิก แต่ด้วยความผูกพันที่มี
จึงตกลงใจที่จะช่วยอั้มทั้งที่รู้ว่าขัดต่ออาชีพของตัวเอง

นับจากวันนั้นมา การค้าของอั้มก็ดีวันดีคืน คฤหาสน์ของเธอกลายเป็นแหล่งพักยาบ้าที่สำคัญในภูมิภาคแห่งนั้นเลยทีเดียว และไม่มีทีท่าว่าอั้มจะเลิกง่ายๆ

จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่อั้มกำลังนั่งฟังเพลงอย่างมีความสุขในบ้านพัก
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ม่วงสี่สิบสาม นับสิบนาย ก็เข้าปิดล้อมตรวจค้น
บ้านของเธอ ผลการตรวจค้นปรากฏว่าพบยาบ้าเกือบสองล้านเม็ดซุกซ่อน..
จะเรียกว่าซุกซ่อนก็คงไม่ใช่ เพราะมันถูกวางไว้อย่างเปิดเผยและกระจัดกระจาย
ทั่วบริเวณบ้าน ด้วยความย่ามใจว่าตำรวจคงไม่กล้าทำอะไรเธอ
อั้มหน้าซีดเผือด หลังจากถูกจับกุมใส่กุญแจมือ
ผู้กำกับฯ และรองผู้กำกับฯ เทวินทร์ นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านด้วยตัวเอง
อั้มมองหน้าเทวินทร์อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ที่ผ่านมาเธอมั่นใจว่าด้วยความสาว ความสวยและมีเสน่ห์ของเธอ
คงจะกำหัวใจของเทวินทร์ได้ แต่ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าจะมีชายหนุ่มคนไหน
ที่ใกล้ชิดเธอแล้วจะตัดใจจากเธอได้
จากความสงสัยก็เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นโดยฉับพลัน อั้มตะโกนใส่เขาเสียงดังว่า

“เทวินทร์ คุณทำกับอั้มได้ยังไงคะ ไหนคุณบอกจะช่วยอั้มไงคะ ทำไมถึงหักหลังอั้ม คุณได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากอั้มแล้วใช่มั้ยล่ะ”

เทวินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“จะเรียกว่าหักหลังคงไม่ได้หรอกครับคุณอั้ม ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแผนที่วางเอาไว้แล้ว
เราสืบทราบมานานแล้วว่าคุณเป็นผู้ค้ายาบ้ารายใหญ่ของประเทศ
แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ ผมจึงต้องใช้วิธีแทรกซึมเข้าใกล้ชิดตัวคุณให้มากที่สุด
และที่สำคัญเรารู้ว่าคุณใช้วิธีนี้มาหลายครั้งแล้วกับตำรวจหลายๆ คน
แต่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ใช่ผม
ดยเฉพาะอย่างยิ่งคงต้องยกเครดิตนี้ให้ท่านผู้กำกับฯ ที่เป็นคนวางแผนนี้ด้วยตัวเอง”

ผู้กำกับฯ ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ เทวินทร์ อมยิ้มแล้วกล่าวว่า

“ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณอั้ม ที่เสน่ห์ของคุณใช้ไม่ได้ผลกับรองเทวินทร์”

จากนั้นตำรวจก็ควบคุมตัวอั้มไปที่สถานีตำรวจ ที่เหลือก็แยกย้ายกระจายกันตรวจค้นบ้าน
คงเหลือเพียงผู้กำกับฯ และเทวินทร์ ยืนคุยกันอยู่สองคนภายในห้องรับแขก

“ผมต้องขอชมพี่ด้วยความจริงใจเลยครับ ที่คิดแผนนี้ได้สำเร็จ”

ผู้กำกับฯ จ้องหน้าเทวินทร์ แล้วตอบว่า

“เทวินทร์คงชอบแผนนี้มากละสิ ใช่มั้ยล่ะ”

“โธ่ พี่ครับ ผมจะชอบได้ยังไงล่ะ”

พูดพลางเอามือไปจับแขนผู้กำกับฯ

“พี่ก็รู้อยู่แก่ใจนี่ครับว่า จริงๆ แล้วผมชอบอะไร ไม่น่าถามเลย
ผมนะ.. รู้สึกขยะแขยงทุกครั้งเลยที่ต้องอยู่ใกล้ยายอั้มนั่น
ทุกครั้งที่กอดเธอ ผมนึกถึงใบหน้าพี่ทุกครั้งเลย แต่ต้องกัดฟันอดทน
เพราะพี่คนเดียวเท่านั้น ผมทำเพื่อพี่นะครับ”

ผู้กำกับฯ ยิ้ม แล้วเอามือโอบเอวเทวินทร์อย่างรักใคร่

“ พี่รู้ว่าเทวินทร์ทำเพื่อพี่ พี่วิ่งย้ายให้เทวินทร์มาอยู่กับพี่ก็เพราะอยา
อยู่ใกล้เทวินทร์ เวลาเราไปพบกัน จะได้ไม่ต้องขับรถไกล
แถมเรายังร่วมมือกันปิดคดีนี้ได้อีก ขอบคุณมากนะจ๊ะ ที่รักของพี่”

เทวินทร์ยิ้มอย่างภูมิใจแล้วกล่าวว่า

“คืนนี้ ผมจะรอพี่ที่บ้านนะครับ ไม่รู้ละ ... คืนนี้พี่ต้องให้รางวัลผมด้วย”

เทวินทร์พูดอย่างกระเง้ากระงอด

"จ้ะแน่นอน คืนนี้พี่จะไปหาที่บ้าน เวลาเดิมนะ .... พี่จะทำให้เทวินทร์สำลัก
ความสุขจนแทบไม่อยากจะจากพี่เลย”

เทวินทร์ส่งสายตาหวานเยิ้มให้ผู้กำกับฯ รุ่นพี่ แล้วพูดอย่างร่าเริง

“ อย่าดีแต่พูดก็แล้วกัน คนเก่ง”

จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ....
ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ที่มากเกินกว่าผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้
บังคับบัญชา ยังคงเป็นความลับอยู่ต่อไป ตราบใดที่ทั้งคู่ยังร่วมมือ
กันทำงานอย่างรู้ใจ รู้ไส้รู้พุงกันเช่นนี้ .....

ผู้กำกับฯ คงได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่สามารถ
จับกุมผู้ค้ายาบ้ารายใหญ่ในพื้นที่ได้ โดยฝีมือของรองผู้กำกับฯ
หนุ่มรูปหล่อนามว่า เทวินทร์ ที่เขาเป็นคนขอตัวให้มาอยู่กับเขา
โดยอ้างว่าชื่นชมฝีมือการทำงาน ......

พัชราภาเองก็คงจะไม่เข้าใจตัวเองไปอีกหลายปีในขณะที่อยู่
ในคุกว่า เหตุใดเสน่ห์ของเธอจึงใช้กับเทวินทร์ไม่ได้ ทั้งที่ชาย
หลายคนล้วนต้องสยบอยู่แทบเท้าของเธอ เพียงแค่เห็นรอยยิ้ม

แต่อนิจจา เธอคงไม่รู้หรอกว่า เทวินทร์ ไม่ได้เป็น "ชาย" อย่างที่
เธอเข้าใจ และเธอคงไม่ได้สังเกตชื่อของสถานีตำรวจภูธรแห่งนี้
หากเธอสะกิดใจสักนิด เธออาจจะไม่พบจุดจบของชีวิตแบบนี้ก็เป็นได้
เพราะชื่อสถานีตำรวจแห่งนี้คือ ........ “ สภ.ม่วงสี่สิบสาม” ......

****************

หมายเหตุผู้เขียน

1. “สภ.ม่วงสี่สิบสาม” ดัดแปลงมาจาก
“สภ.ม่วงสามสิบ” จว.อุบลราชธานี
2. ผู้กำกับการ และรองผู้กำกับการป้องกัน
ปราบปรามของ สภ.ม่วงสามสิบ มิได้มีพฤติการณ์เป็นเช่น
“ผู้กำกับฯ และ รองเทวินทร์” ในนิทานเรื่องนี้แต่อย่างใด

(ขอยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย)

*********************

นะฮะ

จาก http://www.police-pran43.com/story.php

พี่เขย น้องเมีย

พี่เขย น้องเมีย

อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์ อย่าไว้ใจคนใกล้ตัวค่ะ แล้วจะเสียใจ
คิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์ ต่อ บรรดาพี่เขยทั้งหลายแหล่

ดิฉันแต่งงานเมื่อ พ.ศ. 2534 และได้อยู่กินกับสามีด้วยดีจนมีลูกสาว
และลูกชายอย่างละคน ชีวิตก็มีความสุขดี มีรถยนต์ มีบ้านในเนื้อที่ 41 ตารางวาบนถนนแจ้งวัฒนะ

ดิฉันมีน้องสาว 1 คนเค้าไปได้สามีที่ มีเมียหลวงอยู่แล้ว
ตอนหลังเค้าเลิกกัน เขามาหาดิฉัน ดิฉันก็ให้ น้องสาวมาอยู่ด้วยกัน
แต่ว่ามาคนเดียวนะคะ ส่วนลูกๆอยู่กับสามีเขา น้องสาวมาอยู่กับดิฉันได้หลายปี

จนมาวันหนึ่ง หัวใจดิฉันเกือบ สลาย คือสามีดิฉันจะเลิกงานเวลา 24.00 น.และในเวลา 00.45 น. ดิฉันได้ยินเสียงรถของสามีมาถึงบ้านแล้ว แต่ดิฉันหลับ ต่อมาตกใจตื่นตอนตี 2 กว่านิดหน่อย ไม่เห็นสามีนอนอยู่
จึงลุกขึ้นไปดูที่ห้องลูกๆ ก็ไม่มี ในห้องน้ำก็ไม่มี ใจหายวาบ รีบลงมาที่โซฟา ข้างล่างก็ไม่มี รถยนต์ก็จอดอยู่แต่สามีดิฉันไปไหน มองที่ประตูบ้านก็ใส่กลอนอยู่ ดิฉันหัวใจเต้นแรงมาก

เหลืออยู่ห้องเดียวคือ…ห้อง…น้องสาว..ของดิฉัน
ดิฉันเดินไปเปิดไฟจ นสว่างทั่วบ้าน หัวใจเต้นแรง ผิดปกติ อยากจะเป็นลม
แล้วมองไปที่ห้องของน้องสาวแล้วพยายามตั้งสติ คิดในใจว่าถ้าเขาเดินออกมาจากห้องนั้นดิฉันจะทำอย่างไร ดิฉันนั่งมองประตูห้องของน้องสาวน้ำตาจะไหล นึกในใจว่า จะทำอย่างไร ? เราจะทำอย่างไรดี ลูกก็ยังเล็ก ดิฉันตัดสินใจ?เลิก? แล้วให้เขาไปอยู่กับน้องสาวที่อื่นส่วนดิฉันจะอยู่กับลูกคือยกสามีให้น้องสาวไปถ้าเขารักกัน

จนประมาณ ตี 3 กว่าๆดิฉันในใจว่าถ้าดิฉันโทรฯเข้ามือถือเขาแล้ว
เสียงโทรศัพท์ก็ต้องดังออกมาจากห้องน้องสาวแน่ๆเลย เป็นไงเป็นกัน
ดิฉันจึงตัดสินใจโทรฯ แล้วก็ติดจริงๆค่ะ ใจดิฉันเต้นแรงจนเกือบหลุดออกมาข้างนอก ดิฉันยืนแอบอยู่หน้าห้องน้องสาว….แต่เอ๊ะไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังออกมาจากในห้องของน้องแต่โทรฯติด เขาอยู่ไหน

"?ฮัลโหล ?"

"เธออยู่ไหน?" ดิฉัน ตวาด

"อยู่ในรถสิ อีบ้า รู้อยู่แล้วว่า วันนี้ผมกลับดึก
ยังเสือก ล็อคประตูอีก "

เก็บมาจาก forward mail