ศัตรูพืชและกรรมวิธีในการควบคุมระบบผสมผสาน


ศัตรูพืช

สารเคมีและกรรมวิธี ที่เกษตรกรใช้อยู่

สารธรรมชาติ และกรรมวิธีแทน ระบบผสมผสาน

หนอนกินใบ หนอนเจาะผล หนอนแทะเปลือก

คาร์บารลิ เมทธิล พาราไธออน ,เมทธามิโดฟอส โมโนโครโตฟอส คลอไพริฟอส ฯลฯ 

พ่นในระยะที่แมลงระบาด ป้องกันทุก 7 – 10 วัน

สารสกัดจากสะเดา ข่า ตะไคร้หอม(นีมบอนด์-เอ)(R) พ่นช่วงก่อนระบาด และสํารวจแมลง ถ้าจําเป็นอาจใช้สารไพรที อยด์สังเคราะห์ร่วมด้วยได้ เฉพาะในกรณีที่ไม่ได้ป้องกันมาก่อน และต้องการพ่นเพื่อกําจัดให้แมลงหมดไปในครั้งนั้น ๆ

เพลี้ยไก่แจ้,  เพลี้ยไฟ เพลี้ยจั๊กจั่นฝอยทําลายใบอ่อน

คาร์บารลิ ,ไดโครโตฟอส เมทธามิโดฟอส สารไพรีทอยด์ สารสัง เคราะห์ 

พ่นช่วงแตกใบอ่อน ระยะหางปลาใบคลี่

สารสกัดจากสะเดา ข่า ตะไคร้หอม(นีมบอนด์-เอ)(R) พ่นช่วงแตกใบอ่อน เมื่อเริ่มต้นในครั้งแรก ๆ อาจใช้สารไพรีทอยด์สังเคราะห์ ร่วมด้วย โดยลดอัตราของสารไพรีทอยด์สังเคราะห์ลงมาครึ่งหนึ่งและถ้าเป็นเพลี้ยไก่แจ้อย่างเดียวไม่ต้องใช้สารไพรีทอยด์ สังเคราะห์


ศัตรูพืช

สารเคมีและกรรมวิธีที่เกษตรกรใช้อยู่

สารธรรมชาติ และกรรมวิธีแทน ระบบผสมผสาน

ไรแดงทําลายใบแก่

โปรพาร์ไกท์ โฟซาโลน ไดโคโพล

สารสกัดจากสะเดา ข่า ตะไคร้หอม(นีมบอนด์-เอ)(R) พ่นเพื่อให้ผล ใบ ต้าน ป้องกันและกําจัด โดยพ่นเมื่อพบการระบาด ซึ่งอาจใช้ 1–3 ครั้ง /ฤดูกาลผลิต

มอดเจาะกิ่งลําต้น

คลอไพริฟอส ฉีดพ่นทางลําต้นช่วงการระบาดและ หลังแต่งกิ่ง(ต้องควบคุมโรครากเน่า โคนเน่าด้วย )

สารสกัดจากสะเดา ข่า ตะไคร้หอม(นีมบอนด์-เอ)(R) ที่ลําต้น กิ่ง หลังแตกกิ่ง ร่วมกับเขตกรรมป้องกันโรคโคนเน่าและเก็บส่วนของกิ่งที่ตัดแต่งแล้วไปทําลาย เพื่อทําลายตัวอ่อน– ตัวแก่ของตัวมอด

เพลี้ย แป้ง เพลี้ย หอย เพลี้ย สําลี

โมโนโครโตฟอส เมทธามิโดฟอส ,คลอไพริฟอสซูปราไซด์ ร่วมกับ ไวท์ออยล์ หรือ ปิโตรเลี่ย มออยล์ พ่นที่ผลตั้งแต่เริ่ม่ระบาด

• ใช้คาร์บาริลโรยที่ขั้วผล

• สารสะเดาอัดเม็ด หว่านบริเวณรอบโคนต้น เพื่อไล่มดไม่ให้พาเพลี้ยขึ้นต้นทุเรียน

• สารสกัดจากสะเดา ตะไคร้หอม(นีมบอนด์-เอ)(R)พ่นที่ผลช่วงการระบาด อาจใช้ร่วมกับไพรีทอยด์ สังเคราะห์เมื่อพบว่ามีการระบาดรุนแรงและต้องการ กําจัดไปให้หมดในช่วงนั้น ๆ



ศัตรูพืช

สารเคมีและกรรมวิธี ที่เกษตรกรใช้อยู่

สารธรรมชาติ และกรรมวิธีแทน ระบบผสมผสาน

โรครากเน่า โคนเน่า จากเชื้อ ( Phytoptera )

ใชฟอสฟอรัสแอซิท ฉีดอัดเข้าลำ ต้น

• ทาแผลด้วยฟอสฟอรัสแอซิคชนิดครีมสําหรับทาแผล เมตาแลกซลิ ฯลฯ

• พ่นทางใบด้วย ฟอสเอทธิล อะลูมินั่ม
• ราดดินในบริเวณทรงพุ่ม ด้วยเมตาแลกซิลเทอร์ราโซล ฯลฯ

• จัดการระบายนํ้า อย่าให้ท่วมขัง
• ฉีดเข้าต้นฟอสฟอรัสแอซิค

• ใช้ปุ๋ยชีวภาพและไตรโคเดอร์มากับปุ๋ยหมัก 

• ทาแผลด้วยฟอสฟอรัสแอซิคชนิดครีมหรือ เชื้อจุลินทรีย์

( Beschoice – 4 ) ( R )

โรคใบติด โรคใบลาย(Anthracnose) ราสีชมพู สาหร่ายสนิม

สารกลุ่ม คอปเปอร์ แมนโคเซป คาร์เบลดาซิม ฯลฯ พ่นทางใบช่วงระบาดร่วมกับการตัดแต่ง

• เชื้อจุลินทรีย์
( Bestchoice – 4 ) ( R ) พ่นทางใบในระยะระบาด 

• ใช้บาซิลลัส ซับติลิสและไตรโคเดอร์มาเพื่อลดเชื้อศัตรูพืช

• ถ้าจําเป็น อาจใช้สารเคมี ร่วมด้วยเช่น คาร์เบนดาซิม

• สารสกดัจากสะเดาทุกชนิดให้ผลในการลดความรุนแรงของโรคจะ ค่อนข้างต่ำ

• ใช้การตัดแต่งกิ่ง ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคด้วย



ศัตรูพืช

สารเคมีและกรรมวิธี ที่เกษตรกรใช้อยู่

สารธรรมชาติ และกรรมวิธีแทน ระบบผสมผสาน

โรคผลเน่า โรคใบลาย ( Anthracnose )

ใช้สารกลุ่มเดียวกับโรครากเน่า โคนเน่า พ่นที่ผลเป็นระยะ ๆ เช่น
ทุก ๆ 
7 – 10 วัน

• พ่นด้วยสารสกัดจาก สะเดา ข่า ตะไคร้หอมเป็นประจํา ถ้าจําเป็น จะใช้สารเคมีสลับกันบ้าง

วัชพืช

พาราควอท ไกลโคโฟเสท ซัลโฟเสท พ่นปีละ 2 – 3 ครั้ง

• ตัดหญ้าในระยะที่ เหมาะสม

• ใช้สารกําจัดวัชพืช ปีละไม่เกิน ครั้ง
• มีการเว้น วัชพืชไว้บ้าง

เพื่อเป็นที่อาศัยของ ตัวห้ำตัวเบียน



คัดลอกจาก เอกสารวิชาการ การปลูกผักบนพื้นที่สูง กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สํานักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร ISBN 974-9562-22-4

การปลูกซูกินี

ซูกินี ( Zucchini )



ภาพโดย マサコ アーント จาก Pixabay 


ชื่อวิทยาศาสตร์   Cucurbita pepo L.Var. 

                            Cylindica Pans

ซูกินี เป็นกลุ่มพืชตระกูลแตง มีถิ่นกําเนิดอยู่แถบเม็กซิโก เป็นพืชฤดูเดียว เจริญเป็นพุ่มหรือกึ่งเลื้อย ลําต้นมีข้อสั้น มีมือเกาะ ใบมีลักษณะเป็นเหลี่ยม 4 – 5 เหลี่ยม ผิวหยาบและมีขนอ่อนบนใบ บางสายพันธุ์มีจุดสีขาวบนใบ ผลมีลักษณะกลมยาว เก็บเกี่ยวและรับประทาน ผลอ่อน

ซูกินีต้องการสภาพอากาศอบอุ่นในการเจริญเติบโต อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 18 – 30 °C ปลูกได้ตลอดทั้งปี ในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 600 เมตรขึ้นไป ต้องการดินร่วนซุย หน้าดินลึกระบายน้ําดีและมีความ อุดมสมบูรณ์สูง ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง 6.0 – 6.5 พื้นที่ปลูกควรได้รับ แสงแดดอย่างเต็มที่

การเตรียมกล้า

เพาะกล้าในถาดหลุม อายุกล้า  6 – 8 วัน

การเตรียมดิน

ไถดินลึก 15 – 20 เซนติเมตร ตากดิน 7 – 10 วัน เก็บเศษวัชพืชออกจากแปลง ใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 1 – 2 ตัน/ไร่ และปุ๋ยเคมีสูตร 15 – 15 – 15 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่

การปลูก

ปลูกแถวเดี่ยว ระยะปลูกระหว่างต้น 70 – 100 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างแถว 1 เมตร

หลังย้ายปลูก ใส่ปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 อัตรา 100 กิโลกรัม/ไร่ และแคลเซียมไนเตรท อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ ดูแลให้น้ําอย่างสม่ำเสมอ


ภาพโดย Antonio Jose Cespedes จาก Pixabay


การเก็บเกี่ยว

เมื่ออายุประมาณ 40 – 45 วัน หลังปลูก ผลผลิตรุ่นแรกจะไม่ค่อยดี ควรตัดทิ้ง จะเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 5 – 7 วัน หลังตัดดอกหรือเมื่อกลีบดอกหลุดจากผล เก็บเกี่ยวผลอ่อนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 4 เซนติเมตร ยาว 12 – 20 เซนติเมตร ผิวเป็นมัน ห่อด้วยกระดาษแล้วบรรจุลง ตะกร้าพลาสติกหรือกล่อง

การใช้ประโยชน์

รับประทานเป็นผักสด ใช้แทนบวบหรือแตงกวาในการประกอบอาหารชนิดต่าง ๆ เช่น ทําเป็นสลัด หรือยํา ใช้ผัดกับเนื้อสัตว์หรืออาหารทะเล ชุบแป้งทอด นํามาดอง ยัดไส้แกงจืด


คัดลอกจาก เอกสารวิชาการ การปลูกผักบนพื้นที่สูง กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สํานักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร ISBN 974-9562-22-4



การปลูกพาร์สเลย์

พาร์สเลย์ ( Parsley )



ภาพโดย tegrafik จาก Pixabay 


ชื่อวิทยาศาสตร์  Petroselinum cripum

พาร์สเลย์ เป็นพืชอายุยาว ทรงต้นลักษณะเป็นกอ ใบจะเป็นหยัก ๆ มีก้านใบยาวประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร 

ในส่วนของก้านใบจะมีข้อ 2 – 3 ข้อ และมีก้านใบย่อยเกิดขึ้นตรงข้อและตรงก้าน ใบย่อยนี้จะมีใบย่อยแตกแขนง ออกไปอีกซึ่งถ้ามองดูเผิน ๆ จะเหมือนต้นผักชีไทย ให้ผลผลิตตลอดปีถ้ามีการจัดการดี 

พาร์สเลย์เป็นพืชที่ต้องการน้ําตลอดฤดูปลูก แต่ไม่ควรมีน้ําขังหรือมีความชื้นสูง ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ แสงแดดในช่วงเช้า ชอบสภาพอากาศเย็น อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 18 – 25 °C ความเป็นกรดเป็นด่างของดินที่เหมาะสม คือ 5.5 – 6.8 

สามารถเริ่มเพาะในที่ร่มหรือกลางแจ้ง แต่มีข้อแนะนําว่าให้เพาะเมล็ด ในที่ร่มก่อนที่จะย้ายไปปลูกกลางแจ้ง โดยการเพาะเมล็ดควรให้ดินเพาะกล้ามี ความชื้นตลอดเวลา เพื่อช่วยให้เมล็ดงอก ถ้าปลูกพาร์สเลย์ใกล้กุหลาบ หน่อไม่ฝรั่ง และมะเขือเทศจะช่วยป้องกันแมลงเข้าทําลายได้

การเตรียมดิน

แบ่งออกได้เป็นสามส่วนคือ

1. การเตรียมแปลงเพาะปลูก

2. การเตรียมดินถุงเพื่อย้ายกล้าชํา 

3. การเตรียมแปลงปลูก

การเตรียมแปลงเพาะกล้า

ให้ทําการขุดพลิกดินแล้วตากแดดไว้ 7 – 15 วัน จากนั้นหว่านปูนขาวและใส่ปุ๋ยคอก (มูลไก่) ในอัตราปุ๋ยคอก 300 กรัม ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน เกลี่ยหน้าดินให้เรียบ จากนั้นจึงหว่านเมล็ดลงบนแปลง แล้วใช้ดินละเอียดกลบบาง ๆ หรือการเพาะกล้าสามารถทําได้ในกระบะเพาะ

การเตรียมดินลงถุงเพื่อย้ายกล้าชํา

ใช้ดินร่วนผสมกับมูลไก่อัตรา 2 ต่อ 1 คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วนํามา กรอกลงถุงพลาสติกขนาด 4 x 6

การเตรียมแปลงปลูก

หว่านปูนขาว แล้วขุดดินตากแดดทิ้งไว้ 7 – 15 วัน ใช้ปุ๋ยคอก อัตรา 300 กรัม/ตารางเมตร คลุกเคล้าให้ทั่วแปลง

วิธีการปลูก

การให้น้ํามีความสําคัญอย่างยิ่ง ควรให้น้ําในแปลงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ปลูกแปลงในสัปดาห์แรก เพื่อช่วยให้ต้นกล้าตั้งตัวได้เร็วขึ้น

การใสปุ๋ย

ปุ๋ยที่แนะนําให้ใช้กับพาร์สเลย์ คือปุ๋ยสูตร 46–0–0 ผสม15–15–15 ในอัตราส่วน 1:2 ปริมาณ 50 – 100 กิโลกรัมต่อไร่ 

หลังจากย้ายปลูกประมาณ 7 – 14 วัน โรยปุ๋ยเป็นร่องลึก 2 – 3 เซนติเมตร กลบดินแล้วรดนํ้าอีกประมาณ 2 สัปดาห์ให้ปุ๋ยสูตร 15–15–15 สลับกับปุ๋ยสูตร 13–13–21 ทุก ๆ 2 สัปดาห์



ภาพโดย ArtActiveArt จาก Pixabay 


การเก็บเกี่ยว

เริ่มเก็บเกี่ยวครั้งแรกหลังจากปลูกแล้ว 60 – 80 วัน การเก็บจะปลิดก้านใบ โดยปลิดก้านที่อยู่ด้านนอกก่อน ในการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้งจะเหลือก้านใบไว้  2 – 3 ใบต่อหนึ่งต้น 

หลังจากเก็บครั้งแรกแล้วประมาณ 15 – 20 วัน ต้นพาร์สเลย์จะแตกใบขึ้นมาใหม่ ให้ทำการเก็บครั้ง ที่ 2,3,4 ไปเรื่อย ๆ โดยจะเก็บทุก 15–20 วันใน 1 รุ่น จะเก็บเกี่ยวได้ 1–2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา

การใช้ประโยชน์

การตกแต่งจานอาหารและจานสลัด ใช้กับอาหารประเภทยํา ชุบแป้งทอดหรือรับประทานสด ๆ นอกจากนี้ยังใช้ใบพาร์สเลย์สดมาเคี้ยว ทําให้ลมหายใจสดชื่นและ ช่วยดับกลิ่นตกค้าง เช่น กระเทียม นอกจากนี้ใบพาร์สเลย์ยังมีวิตามิน และธาตุเหล็กในปริมาณพอสมควร


คัดลอกจาก เอกสารวิชาการ การปลูกผักบนพื้นที่สูง กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สํานักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร ISBN 974-9562-22-4

 



การปลูกพริกกะเหรี่ยง

พริกกะเหรี่ยง ( Phrik Kariang )



ภาพโดย Hans Linde จาก Pixabay


ชื่อทางวิทยาศาสตร์  Capsicum spp.

พริกกะเหรี่ยง เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Solanaceae เป็นพริกที่ชาวไทยภูเขานิยมปลูกกันมาก สามารถปลูกได้ทั่วไปบนพื้นที่สูง การผลิตไม่จําเป็นต้องใช้สารเคมีเนื่องจากศัตรูทางธรรมชาติมีน้อย นอกจากนี้ตลาดยังมีความต้องการสูง พริกกะเหรี่ยงมีลักษณะเด่น คือ มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม โรคและแมลง 

มีปริมาณผลผลิตสูงและให้ผลผลิตติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน 1 – 3 ปี มีความเผ็ดมากและมีกลิ่นหอม เป็นที่ต้องการของโรงงานแปรรูปต่าง ๆ

พันธุ์พริกกะเหรี่ยง

1. ชนิดผลเล็ก จะมีขนาดผลเรียวละยาวกว่าพริกขี้หนูเล็กน้อย เมื่อผลยังดิบอยู่จะมีสีเขียวเข้มและสุกแดงเมื่อแก่จัด

2. ชนิดผลใหญ่ ผลจะมีขนาดใหญ่กว่า เนื้อหนา ผิวหนา สีของผลเมื่อดิบมีทั้งเป็นสีเขียวอมเหลืองอ่อน เริ่มสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม แต่เมื่อสุกเต็มที่จะมีสีแดงเข้ม สีสดเป็นมัน

การเตรียมเมล็ดและต้นกล้าก่อนปลูก

นําเมล็ดแช่น้ําทิ้งไว้ 1 คืน หรือนํามาห่อในผ้าขาวบางหมาดๆ เก็บไว้ประมาณ 2 – 3 วัน จนมีตุ่มรากสีขาวเล็ก ๆ 

นําไปเพาะในกระบะ โดยใช้วัสดุปลูก คือ ดินละเอียด : ทราย : ขี้เถ้าแกลบ อัตรา 1 : 1 : 1 คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนําเมล็ดพริกลงปลูกในกระบะเพาะละ 1 เมล็ด หรือทําการเพาะกล้าในแปลง โดยโรยเป็น แถวห่างกันประมาณ 3 นิ้ว กลบหน้าดินประมาณ 1 เซนติเมตร 

หลังเพาะนาน 7 – 10 วัน จะเริ่มงอก หมั่นรดน้ําให้ชุ่มอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้แห้ง จนกระทั่งต้นกล้าเจริญเติบโตมีใบประมาณ 3 – 4 คู่ หรือต้นกล้า มีอายุประมาณ 30 วัน สามารถนําไปปลูกในแปลงปลูก

การปลูก

การปลูกควรมีการรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 800 – 1,000 กิโลกรัม/ไร่ ผสมกับเชื้อราไตรโคเดอร์มา อัตรา 80 – 160 กิโลกรัม/ไร่ โดยใน 1 ไร่ ใชต้นกล้าพันธุ์ จํานวน 2,500 – 3,000 ต้น /ไร่ใช้ระยะปลูก 80 x 80 เซนติเมตร

การให้น้ํา

ให้น้ำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าให้น้ำขังแปลงเพราะจะทําให้รากเน่า

การให้ปุ๋ย

ใช้ปุ๋ยหมักหืรอปุ๋ยคอก ไม่นิยมใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เนื่องจากทําให้รสชาติของพริกกะเหรี่ยงเปลี่ยนไป

การเก็บเกี่ยวผลผลิต

หลังย้ายปลูกประมาณ 60 วัน พริกกะเหรี่ยงเริ่มทยอยออกลูก และสามารถเก็บผลผลิตได้ โดยเลือกเก็บเมล็ดที่มีสีเขียวเข้มถึงแดง เพื่อรับประทานสด เก็บเมล็ดที่มีสีแดงสดเพื่อใช้ในการแปรรูป

คุณค่าทางโภชนาการ

พริกประกอบด้วย วิตามินเอ กรดแอสคอร์บิค ฟอสฟอรัสโปแตสเซี่ยม และแคลเซี่ยมสูง สารที่ทำให้เกิดรสชาติและความเผ็ดของพริกคือ capsaicin ซึ่งมีปริมาณสูงในเมล็ด ช่วยเพื่มอัตราการเต้นของหัวใจ เพิ่มอัตราการหายใจ เพิ่มน้ําลาย แก้ปวดฟัน

การปล่อยให้ผลสุกบนต้น จะช่วยเพิ่มวิตามิน เอ และวิตามินซี พริก ป่นสีอดงปริมาณ 1ช้อนชาให้วิตามินเอ 26% พริกสีแดงมีวิตามินซีสูงกว่าสีเขียว 10 เท่า

การใช้ประโยชน์

1. รับประทานสด ใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ

2. ตลาดแปรรูป ในอุตสาหกรรมอาหารไม่ว่าจะเป็นซอส พริกเผา น้ำจิ้มต่าง ๆ 

3. การถนอมอาหาร เช่น การตากแห้ง หรือทําพริก


คัดลอกจาก เอกสารวิชาการ การปลูกผักบนพื้นที่สูง กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สํานักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร ISBN 974-9562-22-4

การปลูกพริกหวาน

พริกหวาน ( Sweet peper )



ภาพโดย Thomas Breher จาก Pixabay


ชื่อวิทยาศาสตร์  Capsicum annum

การปลูกพริกหวานในโรงเรือนโดยระบบ Sub Strate Culture เป็นการปลูกที่ไม่ใช้ดินเป็นวัสดุปลูก การปลูกและการดูแลรักษาจะแตกต่างจากการปลูกในดินหรือในที่โล่งแจ้ง ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการระบาดของโรคและแมลง อีกทั้งยังสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมต่างๆได้ ภายในโรงเรือน

พริกหวาน ต้องการสภาพอากาศอบอุ่น ความชื้นในอากาศต่ำ อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 21 – 26゚C ถ้าอุณหภูมิกลางวันสูงกว่า 32゚C จะทําให้ ดอกร่วง การปลูกในอุณหภูมิ 10 – 15゚C จะจํากัดการเจริญเติบโตและการเจริญของตาดอก ในสภาพที่มีอุณหภูมิสูงและความชื้นในอากาศต่ำ จะทําให้อัตราการคายน้ําของพืชสูง เป็นผลให้พืชขาดน้ํา พืชจะชะงักการเจริญหรือเป็นสาเหตุให้ ใบ ดอก และผลร่วง ในสภาพอุณหภูมิ 10 – 21゚C ผลจะนิ่มและเหี่ยวเร็ว

การเลือกสายพันธุ์

สายพันธุ์พริกหวานที่ปลูกได้ดีในโรงเรือนโดยระบบ Sub Strate เป็นสายพันธุ์ทอดยอดหรือขึ้นค้าง ( Indeterminate type ) ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ ลูกผสมจากประเทศเนเธอร์แลนด์

วัสดุอุปกรณ์ที่จําเป็นในการปลูกพืชโดยระบบ Sub Strate

1. โรงเรือน เป็นสิ่งจําเป็นในการผลิตพืชในระบบนี้ เพื่อที่สามารถ ควบคุมสภาพแวดล้อมที่เกิดตามธรรมชาติได้ โดยเฉพาะ ลม ฝน และการรบกวนจากโรคและแมลงศัตรูพืช

2. ระบบการให้น้ําและปุ๋ย

• ปั๊มน้ํา เป็นอุปกรณ์สําคัญในการให้น้ําโดยระบบน้ําหยด เพื่อเพิ่มแรงดันน้ําและทนการกัดกร่อนของเกลือหรือกรด 

• หัวน้ําหยด แบบเสียบ

• ถังผสมปุ๋ย

• เครื่องกรองน้ํา

• เกจวัดแรงดันน้ํา

• เครื่องมือวัด EC meter และ pH meter เป็นอุปกรณ์สำคัญในการทําระบบน้ํา

3. วัสดุอุปกรณ์ในการปลูก

• วัสดุปลูก เช่น กาบมะพร้าว , มีเดีย , ขุยมะพร้าว หรือ ใยมะพร้าว 

• เชือกฝ้ายพยุงลําต้น หรือ ลวด

• ถุงพลาสติกขนาด 12 นิ้ว และ 3 x 6 นิ้ว

4. ธาตุอาหารพืช นับเป็นหัวใจของการปลูกพืช ปัจจุบันมีการคิดค้น สูตรอาหารสําหรับปลูกพืชมากมาย แต่การเลือกใช้สูตรขึ้นอยู่กับชนิดพืช ฤดูปลูก สถานที่ปลูก

5. พันธุ์พืชที่ปลูก ควรเป็นพันธุ์ที่ตลาดต้องการและมีผลผลิตสูง 

6. น้ํา ควรเป็นน้ําสะอาด ปริมาณและคุณภาพต้องดี

7. กรดไนตริก ใช้ปรับค่าความเป็นกรดเป็นด่างของนํ้า สําหรับน้ำที่มีค่าเป็นด่างสูง

การเพาะกล้าพริกหวาน

เพาะเมล็ดในถาดเพาะ ใช้วัสดุเพาะสําเร็จหรือมีเดีย เมื่อต้นกล้าพริกหวานงอกได้ 1 อาทิตย์ ทําการย้ายกล้าลงปลูกในถุงขนาด 3 x 6 นิ้ว โดยใช้วัสดุปลูก คือ ขุยมะพร้าว 2 ส่วน มีเดีย 1 ส่วนผสมรวมกัน แล้วย้ายกล้าลงปลูก 2 ต้น ต่อ 1 ถุง เมื่อปลูกเสร็จรดน้ําเปล่า 2 วัน วันที่ 3 รดนํ้าผสมปุ๋ย โดยค่าความเค็มของปุ๋ย คือ EC 1.5 pH 5.5 ถึง EC 1.8 หลังจากรดปุ๋ยได้ 1 อาทิตย์ ควรงด น้ํา2 วัน เพื่อให้ต้นกล้าแข็งแรงก่อนนําไปปลูกลงถุงใหญ่ต่อไป

การปลูก

ใช้ถุงขาวนมไม่มีรูขนาด 1 นิ้ว ใส่กาบมะพร้าวสับให้เต็ม ระหว่างใส่ กาบมะพร้าวสับอย่าให้ถุงมีรอยรั่ว เพราะจะทําให้น้ําซึมออก 

จากนั้นนํามาเรียงให้เป็นแถวในโรงเรือน ระยะห่างระหว่างแถว 1 เมตร ระหว่างต้น 50 เซนติเมตร 

นําหัวน้ําหยดเสียบลงถุงก่อนปลูก 2 วัน ปล่อยน้ําพร้อมปุ๋ย EC 1.9 มาตามสายน้ําหยด ลงในถุงที่เตรียมไว้ ให้น้ำแช่กาบมะพร้าวประมาณ 3⁄4 ของถุง ทิ้งไว้ 2 คืน 

ก่อนปลูกพริกหวานใช้ไม้เจาะข้างถุงให้ห่างจากพื้นขึ้นมา 2 นิ้ว ไม่ควรให้สูงเกิน 2 นิ้ว และไม่ต่ำกว่า 2 นิ้ว เพราะถ้าเจาะถุงสูงเกินไปต้นพริกได้รับน้ําปุ๋ยมากเกินไป ทําให้ลําต้นอวบเปราะ ไม่แข็งแรง แต่ถ้าเจาะต่ำเกินไป ต้นพริกจะขาดปุ๋ยในช่วงติดดอกออกผลและจะทําให้สูญเสียปุ๋ย 

สําหรับมะเขือเทศ ให้เจาะรูประมาณ 3 นิ้ว เนื่องจากมะเขือเทศต้องการน้ํามากกว่าพริกหวาน ถ้าขาดน้ําจะแสดงอาการเหี่ยวให้เห็นทันที

การเตรียมปุ๋ย

การเตรียมสารละลายธาตุอาหารแบบเข้มข้น ผู้เตรียมจะต้องจัดหาและเตรียมแม่ปุ๋ยเคมีพร้อมทั้งวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ผสม ในการผสมจะแบ่ง ปุ๋ยที่จะผสมออกเป็น 2 ถัง คือ ถัง A และ ถัง B แต่ละถังจะประกอบด้วย

                    ถัง                                                                   ถัง B

แม่ปุ๋ยเคมีที่ผสมในถังนี้คือ 

• แคลเซียมไนเตรท

( 15.5 – 0 – 0 )
• โพแทสเซียมไนเตรท

( 13 – 0 – 46 ) 

• เหล็กดีเล็ต


แม่ปุ๋ยเคมีที่ผสมในถังนี้คือ

• โพแทสเซียมไนเตรท 

• แมกนีเซียมซัลเฟต

• โมโนโพแทสเซียมฟอสเฟต 

• โบรอน
• ซิงค์ซัลเฟต
• คอปเปอร์ซัลเฟต

• โตเดียมโมลิปเดต 

• แมงกานีสซัลเฟต


การให้ปุ๋ยแต่ละครั้งจะใช้แม่ปุ๋ยที่เตรียมไว้ใน ถัง A และ ถัง B อัตราส่วน 1 : 1 ใส่ลงในถังผสมขนาด 1,000 ลิตร 

จากนั้น ใช้เครื่องวัด EC วัดค่าความเป็นกรด เป็นด่าง ให้ได้ค่าเท่ากับ 5.5 ถ้าค่าความเป็นกรด เป็นด่างสูงเกินไปให้ใช้กรดไนตริกปรับ

การให้ปุ๋ย ให้น้ํา แต่ละครั้งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ แต่ต้องให้ไม่ต่ำกว่าวันละ 3 ครั้ง เช่น อากาศครึ้มฝน ให้ปุ๋ยเช้าและบ่าย แต่ถ้าแดดออก อากาศค่อนข้างร้อนให้ปุ๋ยวันละ 4 – 5 ครั้ง

การใช้เชือกพยุงลําต้น

เนื่องจากพริกหวานที่ปลูกเป็นพันธุ์ที่มีลําต้นเลื้อยสูง จึงมีการใช้เชือกพยุงลําต้นให้ตั้งตรง การผูกจะใช้วิธีผูกติดกับลวดที่ขึงบนหลังคา ดึงลําต้นให้ตั้งตรงแล้วคอยพันเชือกขึ้นตามความสูงของต้นเพื่อป้องกันต้นล้ม เชือกที่นิยมใช้ได้แก่เชือกฝ้ายสีขาว

การตัดแต่งกิ่งและการปลิดผล

การปลูกพริกในระบบนี้จะไว้จํานวนกิ่งต่อต้น 2 กิ่ง ในหนึ่งถุงจะมี 2 ต้น 4 กิ่ง การไว้ต้นละ 2 กิ่ง จะทําให้ได้ปริมาณผลผลิตมากข้ึน การปลิดผลจะปลิดผลที่มีรูปทรง บิดเบี้ยว มีแมลงกัดกินและมีปริมาณผลเบียดเสียดกันมากเกินไปออก การไว้จำนวนผลมาก จะทําให้ได้คุณภาพของผลผลิตต่ำ มีขนาดเล็ก และ แย่งอาหารกัน



ภาพโดย Stefan Schweihofer จาก Pixabay


การเก็บเกี่ยว

พริกหวานพันธุ์สีเขียวสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 65 – 70 วัน หลังจากย้ายกล้าปลูก ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 – 5 เซนติเมตร และมีสีเข้ม สังเกตผลมีผิวเรียบและแข็ง 

สําหรับพันธุ์สีแดงและสีเหลืองเก็บเกี่ยวเมื่อผลเริ่มมีสีได้มากกว่า 70 – 80 % โดยใช้กรรไกรตัดแล้วคัดเกรดห่อด้วยกระดาษบรรจุลงตะกร้าพลาสติก ไม่ควรบรรจุแน่นเกินไป ทําให่ผลช้ำเสียหายขณะขนส่งได้

คุณค่าทางโภชนาการ

พริกหวานมีคุณค่าทางวิตามินเอ บี 1 บี 2 และซี มีสารแคบไซซิน ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือด โรคต้อกระจก

การใช้ประโยชน์

พริกหวานมีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมถึงหกเหลี่ยม เนื้อหนา มีหลายสีทั้ง เขียว แดง เหลือง สมและสีช็อกโกเลต มีรสชาติหวาน ไม่เผ็ด สามารถรับประทานสดในสลัด ชุบแป้งทอด สอดไส้กับเนื้อสัตว์บดแล้วอบ หรือนํามาผัดกับชนิดต่างๆ ให้สีสันน่ารับประทาน


คัดลอกจาก เอกสารวิชาการ การปลูกผักบนพื้นที่สูง กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สํานักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร ISBN 974-9562-22-4






การปลูกกระเทียมต้น

กระเทียมต้น ( Leek )



ภาพโดย Elena Escagedo จาก Pixabay 


ชื่อวิทยาศาสตร์  Allium ampeloprasum L . porrum

กระเทียมต้น เป็นผักเมืองหนาวชนิดหนึ่ง สามารถปลูกได้ตลอดปี ในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ําทะเล 800 เมตร ขึ้นไป และมีอุณหภูมิที่เหมาะสม 12 – 21 ゚C กระเทียมต้นเป็นพืชที่มีระบบรากตื้น ดินที่ปลูกต้องร่วนซุยและ หน้าดินลึก มีอินทรียวัตถุสูง ระบายน้ําได้ดี ส่วนที่นำไปประกอบอาหาร คือลำต้นเทียม ( pseudostem ) หรือโคนก้านใบ ( Shaft ) เป็นส่วนที่ขยายตัวและสะสมอาหารสํารอง สีขาว ขนาดและความยาวของลําต้น เทียมขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ความสูงของต้นโดยทั่วไป ประมาณ 40 – 75 เซนติเมตร

การเตรียมกล้า

1. แปลงเพาะกล้า ในฤดูฝนอยู่ภายใต้หลังคาพลาสติก ฤดูร้อน / หนาวใช้อุโมงค์ตาข่าย

2. บ่มเมล็ดโดยแช่เมล็ด ในน้ําผสมยากันรา นาน 15 นาที ผึ่งเมล็ดไว้นาน 30 นาที ห่อด้วยผ้าไว้ 1 คืน แล้วนําเมล็ดไปหยอดในแปลงเพาะกล้า

3. ขึ้นแปลงกว้าง 1 เมตร ใส่ปุ๋ยรองพื้นสูตร 12 – 24 – 12 และปูนขาว อัตรา 30 กรัม /ตารางเมตร และปุ๋ยคอกปริมาณ 1 กิโลกรัม/ตารางเมตร คลุกเคล้าให้ทั่วแปลงรดน้ําให้ชุ่ม

4. ขีดร่องขวางแปลงลึก 1 เซนตเมตร ห่าง 10 เซนติเมตร หยอดเมล็ดที่ บ่ม แล้วห่างกัน 1 เซนติเมตร กลบด้วยดินบางๆ แล้วคลุมด้วยฟาง

5. ต้นกล้าอายุได้ 25 วัน และ 50 วัน ใสปุ๋ยสูตร 15–15–15 และยูเรีย

6. รดน้ําวันละ 1 ครั้ง อายุได้ 2 เดือน ย้ายปลูก

7. ต้นกล้า ย้ายปลูก ตัดปลายให้สูง กว่ายอด 2 เซนติเมตร ตัดรากเหลือ

1 เซนติเมตร แช่รากในน้ําผสมไดแทนเอ็ม 45 นาน 10 นาที ก่อนปลูก

การเตรียมดิน

ไถหรือขุดดินให้ลึกประมาณ 15 – 20 เซนติเมตร ตากทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักและรองพื้นด้วยปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 อัตรา 20 กรัม /ตารางเมตร คลุกเคล้าให้เข้ากัน

การปลูก

ก่อนปลูก รดน้ำให้แปลงมีความชุ่มชื้น แล้วทําการปลูก โดยขุดร่องลึก 3 เซนติเมตร ห่างกัน 80 เซนติเมตร เลือกต้นกล้าที่มีขนาดเท่ากันปลูกในแปลงเดียวกัน กลบดิน รดน้ําให้ทั่วแปลง

การให้น้ํา / ปุ๋ย

ควรดูแลไม่ให้กระเทียมต้นขาดน้ำ หลังปลูก 20 วันโรยปุ๋ยสูตูร 21 – 0 – 0 และ 15 – 15 – 15 อัตรา 20 กรัม /ตารางเมตร ลงในช่องปลูก แล้วกลบดิน พูนโคนง อายุได้ 40 วันโรยปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15

การเก็บเกี่ยว

เก็บเกี่ยวได้เมื่อกระเทียมต้น อายุ 80 วันขี้นไป หลังจากย้ายปลูก หรือเมื่อใบล่างห่างจากพื้น 15 เซนติเมตร หรือโคนต้นเกิน 2.5 เซนติเมตร ล้างรากให้สะอาดตัดทิ้งเหลือ 0.5 เซนติเมตร เก็บใบเสียทิ้ง

การใช้ประโยชน์

ใช้ทำซุป สตู ผัดน้ํามันหอย ผัดกับอาหารทะเล เนื้อสัตว์ ปลา หรือ ตุ๋น แบบจับฉ่าย



คัดลอกจาก เอกสารวิชาการ การปลูกผักบนพื้นที่สูง กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สํานักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร ISBN 974-9562-22-4

การปลูกผักกาดหวาน

ผักกาดหวาน ( Cos Lettuce , Romain Lettuce )



ภาพโดย วรพจน์ พนาปวุฒิกุล จาก Pixabay 


ชื่อวิทยาศาสตร์  Lactuce sativa var. longifolla

ผักกาดหวาน เป็นพืชล้มลุกการปลูกดูแลรักษาคล้ายผักกาดหอมห่อ ต้องการสภาพอากาศเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 10 – 24゚C ในสภาพอุณหภูมิสูงการเจริญเติบโตทางใบจะลดลง และสร้างสารสีขาวคล้ายน้ํานมหรือ ยางมาก เส้นใยสูงเหนียวและมีรสขม

ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกควรร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์ และมีอินทรียวัตถุสูง หน้าดินลึก และอุ้มน้ําได้ดีปานกลาง สภาพความเป็นกรดเป็นด่าง ของดินอยู่ระหว่าง 6 – 6.5 พื้นท่ีปลูกควรโล่งและได้รับแสงแดด

อย่างเต็มที่ เนื่องจากใบผักกาดหวานมีลักษณะบางไม่ทนต่อฝน ดังนั้นในช่วงฤดูฝนควรปลูกใต้โรงเรือน

การเตรียมดิน

ขุดดินตากแดดและโรยปูนขาวหรือโดโลไมท์ อัตรา 100 กรัม / ตารางเมตร ทิ้งไว้ 14 วัน ให้วัชพืชแห้งตาย ขึ้นแปลงกว้าง 1 เมตร ใส่ปุ๋ยสูตร 12 – 24 – 12 และสูตร 15 – 0 – 0 รองพื้น ปุ๋ยคอกอัตรา 2 – 4 ตัน/ไร่

การเตรียมกล้า

เพาะกล้าในถาดหลุมแบบประณีต วัสดุเพาะควรมีระบบน้ําดี

การปลูก

นําต้นกล้าที่เพาะไว้ อายุประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ มาปลูกโดยใช้ร ะยะ ปลูก 30 x 30 เซนติเมตร ในฤดูร้อน และ 40 x 40 เซนติเมตร ในฤดูฝนเพื่อ ป้องกันการระบาดของโรค

การให้น้ํา

ควรให้น้ําอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอต่อการเจริญเติบโต การให้น้ำ ไม่ควรมากเกินไป อาจทําให้เกิดโรคโคนเน่า

การให้ปุ๋ย

หลังปลูก 7 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 46 – 0 – 0 ผสมสูตร 15 – 15 – 15 อัตราส่วน 1 : 1 ปริมาณ 50 กิโลกรัม /ไร่ พร้อมกําจัดวัชพืชหลังปลูก 20 – 25 วันใส่ปุ๋ยสูตร 13 – 13 – 21 โดยขุดร่องลึก 2 – 3 เซนติเมตร รอบโคนต้น รัศมีจาก ต้น 10 เซนติเมตร โรยปุ๋ย 1⁄2 ช้อนโต๊ะ กลบดินแล้วรดน้ําพร้อมกําจัดวัชพืช 

    ข้อควรระวัง

1. ควรฉีดพ่นแคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันอาการปลายใบไหม้ (Tipburn) ในบางพื้นที่ซึ่งมีปัญหาขาดธาตุรอง

2. การพรวนดิน ระวังอย่ากระทบกระเทือนรากหรือต้น เพราะจะมีผลต่อการเข้าปลีที่ไม่สมบูรณ์

3. ไม่ควรปลูกซ้ำที่เดิม

การเก็บเกี่ยว

เมื่อผักกาดหวานมีอายุได้ประมาณ 40 – 60 วัน หลังจากย้ายปลูก ใช้หลังมือกดดูถ้าแน่นก็เก็บได้ ( กดยุบแล้วกลับคืนเหมือนเดิม ) ใช้มีดตัด และเหลือใบนอก 3ใบ เพื่อป้องกันความเสียหายในการขนส่ง หลีกเลี่ยงการเก็บเกี่ยวตอนเปียก ควรเก็บเกี่ยวตอนบ่ายหรือค่ำแล้ว ผึ่งลมในที่ร่มและคัดเกรด ป้ายปูนแดงที่รอยตัด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคเข้าสู่หัว แล้วบรรจุลงในพลาสติกเพื่อรอขนส่งต่อไป

    ข้อควรระวัง

1. ในฤดูฝน เก็บเกี่ยวก่อนผักโตเต็มที่ 2 – 3 วัน เพราะถ้าปล่อยให้ผักโตเต็มที่ผักจะเน่าง่าย

2. เก็บซากต้นนําไปเผา หรือฝังลึกประมาณ 1 ฟุต ป้องกันการระบาด และสะสมโรคในแปลงปลูก

คุณค่าทางโภชนาการ

ผักกาดหวานมีน้ําเป็นองค์ประกอบ และมีวิตามินซีสูง นอกจากนี้ยังมีฮีโมโกลบิน ( hemoglobin ) ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง บรรเทาอาการท้องผูกเหมาะสําหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน

การใช้ประโยชน์

ผักกาดหวานเป็นพืชที่นิยมบริโภคสด โดยเฉพาะในสลัดหรือกินกับยำ แต่สามารถประกอบอาหารได้ในบางชนิด เช่น นําไปผัดกับน้ํามันโดยใช้ไฟแรงอย่างรวดเร็ว



คัดลอกจาก เอกสารวิชาการ การปลูกผักบนพื้นที่สูง กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สํานักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร ISBN 974-9562-22-4


การปลูกกะหล่ำปม

กะหล่ำปม ( Kohlrabi )


ภาพโดย Holger Langmaier จาก Pixabay 


ชื่อวิทยาศาสตร์  Brassica caulorapa

กะหล่ำปม จัดอยู่ในวงศ์ Brassicaceae ( Cruciferae ) เป็นพืช ล้มลุก ที่ใช้บริโภคส่วนของลําต้นที่สะสมอาหาร ลักษณะทั่วไปของลําต้นส่วน เหนือดินจะเป็นปมพองออก ลักษณะกลมหรือกลมแป้น เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 – 10 เซนติเมตร มี 2 สี คือ เขียวและม่วง ใบเป็นใบเดี่ยวรูปรีหรือรูปไข่แกมรี ปลายแหลมถึงป้าน ขอบใบหยัก โดยเฉพาะส่วนใกล้โคน และเว้าลึกถึงเส้นกลางใบ ก้านใบเล็ก ยาว แผ่นใบมีนวล สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 15 – 22゚C และควรได้รับแสงอย่างพอเพียง ดินที่ใช้ปลูกควรร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์สูง การระบายน้ําและอากาศดี ดินควรมีสภาพความเป็นกรดเป็นด่าง 6 – 6.5 และมีความชื้นสูง ควรให้น้ําอย่างสม่ำเสมอ หากขาดน้ําจะทําให้ชะงัก การเจริญเติบโต คุณภาพปมไม่ดี มีเส้นใยมากรูปร่างปมไม่สวย



ภาพโดย PublicDomainPictures จาก Pixabay 


การเตรียมกล้า

เพาะกล้าแบบประณีต ในถาดหลุม อายุกล้า ประมาณ 20 วัน ไม่ควร เกิน 25 วัน แล้วย้ายปลูก หากต้นกล้าอายุมากจะทําให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต

การเตรียมดิน

ไถดินลึกประมาณ 15 – 20 เซนติเมตร ขุดดินตากแดดอย่างน้อย 14 วัน เก็บหญ้าและวัชพืชออกจากแปลง ขึ้นแปลงกว้าง 1 เมตร ใส่ปุ๋ย 15–15–15 ปูนขาว ปุ๋ยคอก อัตรา 1 กิโลกรัม/ตารางเมตร และโบแรกซ์ อัตรา 1 กรัม /ตารางเมตร ผสมคลุกเคล้าในดินให้ทั่ว ปรับหน้าแปลงให้เรียบ

การปลูก

ทําหุลมลึก 6 – 8 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น และแถว 20 x 25 เซนติเมตร

การให้น้ํา

ควรให้น้ำสม่ำเสมอ 1 – 2 วัน/คร้ัง

การให้ปุ๋ย

ประมาณ 7 – 10 วันหลังจากย้ายปลูกใส่ปุ๋ย 15–15–15 และ 46–0–0 อัตรา 1:2 ปริมาณ 20 – 30 กรัม/ตารางเมตร การใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ห่างจาก ครั้งแรก 15 วัน ใสปุ๋ย 13 – 13 – 21 อัตรา 20 – 25 กรัม/ตารางเมตร การใส่ปุ๋ยใช้วิธีขีดร่องรอบต่นลึก 2 – 3 เซนติเมตร โรยปุ๋ยลงร่องกลบดินแล้วรดน้ํา ทําการกําจัดวัชพืช พร้อมกับการใส่ปุ๋ยทุกครั้ง หากพืช แสดงอาการอ่อนแอหรือขาดธาตุ ใหฉีดพ่นธาตุอาหารเสริม

    ข้อควรระวัง

1. เวลาพูนดินโคนต้น ระวังอย่าให้ใบหัก และรากขาด

2. ควรย้ายกล้า ตามกําหนดเวลา หากล่าช้า หัวจะแคระแกรน

3. ควรให้น้ําอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันการแตกของหัว

4. เมื่อพืชเริ่มสร้างหัวให้ฉีดพ่นโบรอน ทุก 7 วัน

การเก็บเกี่ยว

ควรเก็บเกี่ยวเมื่อผลสีเขียวอ่อน ผลไม่แก่จนเกินไป

คุณค่าทางโภชนาการ

ให้คุณค่าทางอาหารและวิตามินสูง โดยเฉพาะวิตามิน เอ และเกลือแร่ต่าง ๆ



ภาพโดย Urszula จาก Pixabay 


การใช้ประโยชน์

ส่วนที่ใช้ประโยชน์ได้แก่ส่วนของลําต้นทีมีลักษณะเป็นปมสะสมอาหาร และใบอ่อน โดยส่วนของลําต้น สามารถรับประทานสดในสลัด หรือนําไปประกอบอาหารชนิดต่างๆ เช่น ผัดน้ํามันหอย ต้มจับฉ่าย ต้มซุป ผัดกับเนื้อสัตว์ อาหารทะเล หรือผัดใส่ไข่ หรือนํามาใช้แทนมะละกอในส้มตํา ใบอ่อนสามารถนํามาต้ม หรือผัดน้ํามันหอย




คัดลอกจาก เอกสารวิชาการ การปลูกผักบนพื้นที่สูง กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สํานักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร ISBN 974-9562-22-4



การปลูกปวยเหล็ง

ปวยเหล็ง (Spinach)


ภาพโดย Miroslav Sárkozy จาก Pixabay 


ชื่อวิทยาศาสตร์  Spinacia oleraceal

ปวยเหล็ง มีถิ่นกําเนิดอยู่แถบทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียและแถบอัฟกานิสถาน เป็นพืชอายุสั้น ลําต้นเป็นกอจะมีกาบใบซ้อนกันเป็นกอ คล้ายผักกวางตุ้ง รากจะเป็นระบบรากแก้ว ก้านและใบจะมีความยาว 10 – 15 เซนติเมตร ขอบใบหยักเล็กน้อย ปลายใบค่อนข้างมน ก้านใบจะกลวง ใบค่อนข้างหนาเป็นมันสีเขียวค่อนข้างเข้ม ใต้ใบมีขนอ่อน ๆ ชอบอากาศหนาวเย็น ใช้พื้นที่ในการปลูกน้อย ราคาและผลตอบแทนค่อนข้างสูง หากปลูกในช่วงฤดูฝน

ดินที่เหมาะสม ควรเป็นดินร่วนปนทราย มีความเป็นกรดเป็นด่างของ ดิน 6.0 – 6.8 มีการระบายน้ําดี พื้นที่ปลูกจะอยู่ที่ระดับ 1,000 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ําทะเล สามารถปลูกได้ตลอดปี อุณหภูมิที่เหมาะสมสําหรับการเจริญเติบโต อยู่ระหว่าง 18 – 20゚C

การเตรียมดิน

เนื่องจากเป็นพืชที่หว่านเมล็ดในแปลงปลูกโดยตรง ควรเลือกดิน ที่ร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์สูง มีหน้าดินลึก ระบายน้ําได้ดี ปวยเหล็งเป็นผักที่ชอบดินที่มีสภาพเป็นกรดเป็นด่างระหว่าง 6.0 – 6.8 ดังนั้นจึงควรมีการหว่านปูนขาวทุกครั้งที่เตรีมดินเพื่อปลูกปวยเหล็ง แล้วทําการขุดพลิกดินตากแดดไว้

7 – 15 วัน แล้วจึงย่อยดินและขึ้นแปลง รองพื้นด้วยปุ๋ยคอกประมาณ 1,500 – 2,000 กิโลกรัม/ไร่ และปุ๋ยเคมีสูตร 12 – 24 – 12 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ คลุกเคล้าผสมให้ท่ัวแปลง แล้วทําการขีดร่องตามขวางของแปลง แต่ละร่องห่างกัน 10 – 12 เซนติเมตร

การปลูก

เนื่องจากที่เปลือกหุ้มของเมล็ดมีสารจำกัดการงอกอยู่ ดังนั้นให้ใช้ผ้าเปียกหมาด ๆ หุ้มเก็บรักษาในอุณหภูมิ 5゚C ( ตู้เย็นชั้นรองช่องน้ําแข็ง ) 3 – 5 วันหรือแช่เมล็ดในจิบเบอเรลลิกแอซิก เข้มข้น 100 ppm เป็นเวลา 1 ชั่วโมง จะช่วยให้อัตราความงอกสูงขึ้น

ทําการปลูกโดยใช้ไม้ขีดบนแปลงให้เป็นร่องตามขวางแปลงลึก 1 – 2 เซนติเมตร แล้วหยอดเมล็ดลงในร่องให้แต่ละเมล็ดห่างกันประมาณ 5 เซนติเมตร แล้วกลบดิน หลังจากเมล็ดงอกแล้ว 7 – 10 วัน ถอนแยก เนื่องจากในการหยอดเมล็ด อาจจะหยอดถี่เกินไป

การให้น้ํา

การให้น้ําปวยเหล็งเป็นสิ่งสําคัญมาก ควรมีการให้น้ําวันละ 2 ครั้ง คือตอนเช้าและตอนเย็น ถ้าปวยเหล็งขาดน้ําจะทําให้ต้นแคระแกร็น และใบจะ เหลือง หากมีการปลูกในช่วงฤดูฝนควรทําโรงเรือนพลาสติก เพื่อป้องกันนํ้าฝนท่ีจะตกลงมาทําให้ปวยเหล็งเสียหายได้

การให้ปุ๋ย

เมื่อต้นกล้าอายุได้ 15 วันให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 46 – 0 – 0 และ 13 – 13 – 21 อัตรา 1 : 1 ปริมาณ 50 กิโลกรัม/ไร่ (โรยระหว่างแถวและพรวนดินกลบ )



ภาพโดย trang nguyen thi thu จาก Pixabay 


การเก็บเกี่ยว

อายุการเก็บเกี่ยวหลังจากหยอดเมล็ด ประมาณ 30 – 45 วัน ให้ทําการถอนหรือตัดทั้งลําต้น ลอกใบที่เหลืองและเป็นโรคออก ทําความสะอาด และ ผึ่งก่อนทําการบรรจุ การเก็บเกี่ยวควรเก็บตอนเย็น หรือตอนเช้า รีบบรรจุภาชนะโดยเร็ว

คุณค่าทางโภชนาการ

ปวยเหล็ง ประกอบไปด้วยคุณค่าทางอาหารหลายชนิด เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และมีสารเบต้าแคโรทีน และวิตามินซี เป็นจํานวนมาก ช่วยบํารุงสายตา ผิวพรรณ ทําให้กระดูกแข็งแรงและ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

การใช้ประโยชน์

การบริโภคจะนํามาบริโภคทั้งลําต้น โดยจะตัดรากทิ้งไป และนําส่วนที่เหลือไปประกอบอาหาร ได้แก่ ผัดไฟแดง ต้มจืด สุกี้ หรือ ผัดใส่หมู ใส่ไก่



คัดลอกจาก เอกสารวิชาการ การปลูกผักบนพื้นที่สูง กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สํานักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร ISBN 974-9562-22-4


การปลูกหอมญี่ปุ่น

หอมญี่ปุ่น (Bunching Onion)



Image by Freepik


ชื่อวิทยาศาสตร์  Allium fistulosum L .

หอมญี่ปุ่น เป็นพืชอายุยาว ต้องการดินร่วนซุยหน้าดินลึกระบายน้ําดี และมีอินทรีย์วัตถุสูง ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง 6.0 – 6.8 ลักษณะทั่วไป ประกอบด้วยราก ซึ่งเป็นระบบรากฝอยลําต้นจริงจะมีลักษณะเป็นแผ่นอยู่ระหว่างรากและใบ ใบมีลักษณะเป็นหลอดยาว คล้ายใบหอมขนาดใหญ่ ส่วนที่นํามาบริโภค คือ ลําต้นเทียมซึ่งมีลักษณะกลมยาวสีขาวเป็นส่วนของกาบใบ ( scape ) ทําหน้าท่ีสะสมอาหาร ซึ่งจะขยายตัวตามยาว ทําให้มีลําต้นเทียมสูง 25 – 75 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 7 เซนติเมตร การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดและแยกกอ

การเตรียมกล้า

1. แปลงเพาะกล้าในฤดูฝนอยู่ภายใต้หลังคาพลาสติก ฤดูร้อน/หนาว ใช้อุโมงค์ตาข่าย

2. บ่มเมล็ด โดยแช่เมล็ดในน้ําผสมยากันรานาน 15 นาที ผึ่งเมล็ด ไว้นาน 30 นาที ห่อด้วยผ้าไว้ 1 คืน แล้วนําเมล็ดไปหยอดในแปลงเพาะกล้า

3. ขึ้นแปลงกว้าง 1 เมตร ใส่ปุ๋ยรองพื้นสูตร 12 – 24 –12 และปูนขาว อัตรา 30 กรัม/ตารางเมตร และปุ๋ยคอกปริมาณ 1 กิโลกรัม/ตารางเมตร คลุกเคล้าให้ทั่วแปลงรดน้ําให้ชุ่ม

4. ขีดร่องขวางแปลงลึก 1 เซนติเมตร ห่าง 10 เซนติเมตร หยอดเมล็ดที่บ่มแล้วห่างกัน 1 เซนติเมตร กลบด้วยดินบาง ๆ แล้วคลุมด้วยฟาง

5. ต้นกล้าอายุได้ 25 วัน และ 50 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 และยูเรีย

6. รดน้ําวันละ 1 ครั้ง อายุได้ 2 เดือน ย้ายปลูก

7. ต้นกล้าย้ายปลูกตัดปลายให้สูงกว่ายอด 2 เซนติเมตร ตัดราก เหลือ 1 เซนติเมตร แช่รากในน้ําผสมไดแทนเอ็ม 45 นาน 10 นาที ก่อนปลูก

การเตรียมดิน

ไถหรือขุดดินให้ลึกประมาณ 15 – 20 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ ใส่ปูนขาว ปรับค่าความเป็นกรดเป็นด่าง ทิ้งไว้ 10 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักและรองพื้นด้วยปุ๋ยสูตร 15–15–15 อัตรา 20 กรัม /ตารางเมตร คลุกเคล้าให้ เข้ากัน

การปลูก

ก่อนปลูกควรรดน้ําให้แปลงมีความชุ่มชื้น แล้วทําการปลูกโดยขุดร่องลึก 3 เซนติเมตร ห่างกัน 80 เซนติเมตร

หลังปลูก 20 วันโรยปุ๋ยสตูร 21–0–0 และ 15–15–15 อัตรา 20 กรัม /ตารางเมตร ลงในร่องปลูก แล้วกลบดินพูนโคน อายุได้ 40 วันโรยปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 แล้วกลบดินพูน โคนต้นถึงในระดับใบล่าง

การเก็บเกี่ยว

เก็บเกี่ยวเมื่ออายุได้ 60 — 80 วัน หัวมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 – 8 เซนติเมตร เลือกหัวที่มีทรงกลมไม่มีรอยแตกหรือรอยแยก ตัดใบออกใหเหลือก้านใบ ไม่เกิน 3 เซนติเมตร ล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง

คุณค่าทางโภชนาการ

ประกอบด้วยโปรวิตามิน เอ และซี

การใช้ประโยชน์

ส่วนที่นำมาบริโภคคือลําต้นเทียมที่มีลักษณะกลมยาวสีขาว นํามา ประกอบอาหารต่าง ๆ เช่น ผัดน้ํามันหอย ผัดกับอาหารทะเลหรือตุ๋น



คัดลอกจาก เอกสารวิชาการ การปลูกผักบนพื้นที่สูง กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สํานักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร ISBN 974-9562-22-4