25 วิธีดูแลความรัก


หากรักที่เคยสร้างสุข กลายมาเป็นหมดรัก ชีวิตย่อมเป็นทุกข์ ความรักที่มีจึงต้องดูแลอย่างดี เพื่อให้ความรักนั้นไม่จากไป ดังเช่น 25 วิธี ต่อไปนี้

1. อย่าเขินที่จะบอกรัก

2. จดจำรายละเอียดของอีกฝ่าย เช่น ชอบทานอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน กิจกรรมสุดโปรดคืออะไร แล้วหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เสมอ

3. โรแมนติกอย่างรู้กาละเทศะ เลือกสถานที่ให้ถูกที่ เลือกเวลาให้ถูกเวลา เรื่องโรแมนซ์ใครก็ชอบ แต่ความพอเหมาะพอดีก็สำคัญ

4. ให้เกียรติกันและกันเสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

5. อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธอยู่เหนือความรักที่มี นึกถึงเรื่องดีๆ ที่เขาเคยทำให้ จะช่วยให้อารมณ์โกรธหรืออารมณ์ชั่ววูบเบาบางลง

6. เมื่อมีปัญหาควรใช้เหตุผลในการพูดคุย เป็นเรื่องธรรมดาที่คนสองคนจะมีเรื่องขัดแย้ง แต่ถ้าทั้งคู่พร้อมที่จะปรับตัวเข้าหากัน ปัญหาทั้งหลายก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก

7. ปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาเป็นของตัวเอง การเกาะติด ควบคุมมีแต่จะทำให้ความรักจืดจางได้ง่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง รวมทั้งพยายามให้ตัวเองมีโลกส่วนตัวบ้าง จะได้ไม่อึดอัดเช่นกัน

8. พูดกันตรงๆ โดยเลือกใช้คำพูดที่ไม่ทำร้ายจิตใจ

9. มีขอบเขตในการปรับตัว แน่นอนว่าต่างฝ่ายทั้งเราและเขาต่างต้องปรับตัวเข้าหากัน แต่ควรมีขอบเขต ไม่ใช่ยอมเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบที่อีกฝ่ายต้อวการทุกอย่าง จนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนตคั้นหาคำตอบหาอีกฝ่ายยังไม่พร้อม การดึงดันให้รู้เดี๋ยวนั้น ว่าทำไม? เพราะอะไร? จะเอายังไง? เป็นการกดดันอีกฝ่ายอย่างไม่มีประโยชน์ หากอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ควรลองถอยออกมาหนึ่งก้าว ทำใจให้สงบ รอจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะพร้อม แล้วค่อยคุยกันใหม่ก็ยังไม่สาย

12. ดูแลตัวเองให้ดูดีเสมอ

13. ไม่ควรคาดหวังกับความรัก เพราะเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว อย่าคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำนั่นทำนี้ให้ เพราะถ้าผิดหวังจะเสียใจทั้งสองฝ่าย ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

14. ห้ามพูดถ้อยคำหยาบคาย จะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน ก็ห้ามด่าทอกันเสียๆ หายๆ

15. ซื่อสัตย์และไว้ใจกัน

16. หาสิ่งของที่ต้องดูแลร่วมกัน เช่น เลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ หรือกิจการเล็กๆ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างสองคน

17. ให้โอกาสอีกฝ่ายแก้ไขข้อผิดพลาด กับคนที่เรารักยิ่งต้องให้อภัยและให้โอกาส

18. อย่าอายที่จะขอโทษ

19. หากิจกรรมสร้างสรรค์ทำร่วมกัน เช่น ชวนกันเล่นกีฬา ไปดูงานศิลปะ เพื่อให้ความรักสดใส และได้พบสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

20. นึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอ อย่ามัวแต่คิดว่าทำไมอีกฝ่ายไม่เข้าใจเรา นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังทำให้เป็นคนขี้น้อยใจอย่างไม่มีเหตุผล

21. รู้สึกดีกับสังคมที่อยู่ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน เพื่อยกระดับจิตใจและทำให้ภูมิใจในตัวเอง

22. อย่าปิดกั้นโอกาส เปิดตัวเองให้จักคนที่หลากหลาย จะทำให้รู้คุณค่าคนใกล้ตัวและรู้ใจตัวเอง

23. รู้จักใช้ภาษากายในการสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย เช่น จับมือ ลูบหลัง เพราะสามารถสื่อความในใจได้ดีกว่าคำพูดในหลายโอกาส

24. คิดถึงอนาคต แต่อย่าพูดบ่อยจนกลายเป็นการควบคุมผูกมัด พูดในจังหวะที่เหมาะสม ให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในแผนการอนาคตของกันและกัน

25. รู้จักรักตัวเอง เพื่อให้สามารถรักคนอื่นได้เช่นกัน




วิธี "คุมกำเนิด" อย่างไรไม่ให้ตั้งครรภ์

ที่ประชุมองค์การอนามัยโลกปี 2552 ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีทั่วโลกอยู่ที่ 65 ต่อ 1,000 คน ส่วนค่าเฉลี่ยของผู้หญิงในทวีปเอเชียอยู่ที่ 56 ต่อ 1,000 คน โดยประเทศไทยมีผู้หญิงตั้งครรภ์ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 70 ต่อ 1,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดของประเทศในทวีปเอเชีย

ทั้งนี้ ปัจจุบันตัวเลขการตั้งครรภ์ของผู้หญิงไทยที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 90-100 ต่อ 1,000 คนแล้ว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

โอ๊ะ โอ๋....ถ้าคนไทยตั้งใจทำอะไร ไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงจริ๊ง!!

ดังนั้นการ “คุมกำเนิด” จึงจำเป็นมากต่อสาวใดที่รักสนุกไม่พร้อมจะป่อง หรือไม่อยากจะพลาดท้องก่อนแต่ง แถมฝ่ายชายบางนายมันอาจจะใจสุนัขไล่ไปทำแท้ง กลายเป็นคนบาป ผีเด็กเกาะติดตัวไปซะทุกชาติไปแบบที่ อาจารย์ริว จิตสัมผัส เขาว่าไว้

รักกันไม่ผิด แต่หากริจะมีเซ็กซ์ต้องป้องกันการมีบุตรทุกครั้งไป หากคุณสาวๆยังไม่พร้อม เรามาดูกันจ๊ะ ว่า การคุมกำเนิดเขามีวิธีอะไรบ้าง

วิธีแรก
->ให้แฟนใส่ถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัย เป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดหาซื้อได้ง่าย ใช้ง่าย ราคาไม่แพง มีทุกเซเว่น ซื้อง่าย ขายคล่อง สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย ปัจจุบันมีออกมาจำหน่ายมากมายตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นผิวสัมผัส ลื่น ขรุขระ กลิ่นสตรอเบอรี่ บลูเบอร์รี่อะไรก็สุดแล้วแต่จะโปรด หรือบางชนิดก็มีการเคลือบสารเคมีฆ่าเชื้ออสุจิ ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามความพอใจ แต่มีข้อควรระวังคือ ผู้หญิงบางคนอาจจะแพ้วัสดุที่ผลิตถุงยางได้ ดังนั้น ควรเลือกถุงยางที่ผลิตจากยางธรรมชาติ จะเริ่ดที่สุด

วิธีสอง
->กินยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิด เป็น วิธีการคุมกำเนิดที่นิยมกันมากที่สุด และให้ผลดี ซึ่งผลของยาคือ ทำให้ไข่ไม่ตก แต่ก็เป็นหน้าที่ของคุณผู้หญิงที่ต้องไม่ลืมรับประทานยา เพราะถ้าลืมบ่อยๆ ก็อาจจะผิดพลาดเกิดการตกไข่ขึ้นมาได้ และการรับประทานยาคุมกำเนิดนี้ บางคนอาจจะมีอาการแพ้ หรือมีประจำเดือนผิดปกติ จึงต้องสังเกตตัวเองให้ดี

วิธีสาม
->ยาฝังคุมกำเนิด
ยาฝังคุมกำเนิด เป็นการนำฮอร์โมนมาฝังไว้ใต้ผิวหนังช่วงแขนด้านใน ซึ่งเมื่อฝังยานี้เข้าไปแล้วจะคุมกำเนิดได้ถึง 3-5 ปี ถ้าคู่ไหนคิดว่าอยากมีลูกห่างกันขนาดนี้ วิธีนี้ก็สะดวกดีนะ

แต่ดูน่ากลัวก็ตรงฝังแขนนี่แหล่ะ จึงไม่เป็นที่นิยม ฮอตติดลมบนมากนัก

วิธีสี่
->ฉีดยาคุมกำเนิด
เหมาะมากกับคุณผู้หญิงที่ชอบขี้ลืมกินยา เพราะยาคุมมีผลในการคุมกำเนิดเพียงแค่ 1 วัน ส่วนหากใช้วิธีฉีดยาคุมนั้นส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์คุมกำเนิดได้ 3 เดือน ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดียวกับชนิดยากิน แต่มีข้อเสียคือ บางคนอาจจะรอบเดือนไม่มา หรือมากะปริบกะปรอย ซึ่งอาจจะสร้างความอึดอัด หรือรำคาญให้กับคุณสาวๆบางนางได้ และบางรายอาจจะมีอาการแพ้ยาฉีด น่ากลัวชะมัด!

วิธีห้า
->ใส่ห่วงอนามัย
เป็นการใส่เครื่องมือในโพรงมดลูก เหมาะกับผู้หญิงที่เคยมีลูกแล้ว และมีอาการแพ้ยาคุมชนิดกินหรือฉีด ห่วงอนามัยจะมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่มีตัวยา และไม่มีตัวยาใดๆ การใส่ห่วงต้องให้คุณหมอเป็นผู้ใส่ให้ อยากมีลูกตอนไหน ก็ให้คุณหมอถอดออกให้ และโดยปกติจะใส่ครั้งละ 3 ปี

วิธีหก
->นับวัน
เรามักจะได้ยินกันว่า ระยะปลอดภัยจากการตั้งครรภ์คือ “หน้า 7 หลัง 7” จากวันที่มีประจำเดือน ซึ่งหมายถึง การกะประมาณระยะเวลาที่ไข่ไม่ตก ดังนั้นจึงปฏิบัติภารกิจโป้งชึ่งกันได้ แต่ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป การคุมกำเนิดวิธีนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีประจำเดือนคลาดเคลื่อน ฉะนั้นถ้าไม่แน่ใจ และไม่อยากพลาด ไม่ควรใช้วิธีนี้!

วิธีเจ็ด
->หลั่งข้างนอก
วิธีนี้ต้องอาศัยวิทยายุทธ์บู้ลิ้มของฝ่ายชาย ว่าสามารถหลั่งข้างนอกโพรงมดลูกได้ทันหรือไม่ ถ้าแน่ใจก็อาจจะได้ผลคุมกำเนิดอย่างชัวร์เพียงแค่ 80% เท่านั้น เพราะโดยปกติ ก่อนที่จะถึงจุดสุดยอดโดยมีน้ำอสุจิหลั่งออกมา อาจจะมีน้ำเชื้อที่ซึมๆ ออกมาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ ดังนั้นวิธีนี้อาจจะเสี่ยงเกินไปสำหรับผู้ชายที่วิทยายุทธยังไม่แกร่งกล้า ผ่านศึกไม่โชกโชนมากนัก!

วิธีสุดท้าย
->ทำหมัน
การคุมกำเนิดแบบถาวร หรือศัพท์ง่ายๆตามภาษาชาวบ้าน คือ การทำหมัน นั่นเอง วิธีนี้คุณต้องแน่ใจแล้วว่าไม่ต้องการจะมีลูกอีก สามารถทำได้ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย
โดยการทำหมันชาย คือ การเจาะรูเล็กๆ ประมาณ 1 เซนติเมตร เข้าไปผูกท่อนำตัวอสุจิ ใช้เวลาน้อยกว่าการทำหมันหญิงมาก มีแผลเพียงเล็กน้อย และไม่ต้องนอนค้างโรงพยาบาลแต่อย่างใด และไม่มีผลใดๆ ต่อสมรรถภาพทางเพศ ยังดึ๋งดั๋ง โด่ไม่รู้ล้มได้อยู่ ทว่า ผู้ชายบางคนอาจยังมีอคติต่อการทำหมันอยู่ซะส่วนใหญ่
ส่วนทำหมันหญิง จะ คล้ายผู้ชาย คือ การผ่าตัดผูกท่อนำไข่ เป็นการป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิเข้าไปผสมกับไข่ที่ปีกมดลูก คุณแม่ท่านใดที่ตัดสินใจทำหมันหลังจากคลอดลูกภายใน 24 ชั่วโมง จะเรียกว่าทำหมันเปียก แต่ถ้ามาทำภายหลัง เรียกว่า ทำหมันแห้งนะจ๊ะ

ที่มา http://www.manager.co.th/

เพนท์เล็บสวยๆ ชุดที่ 2

ตัวอย่างการเพนท์เล็บด้วยตนเอง ชุดที่ 2
Nails art Gallery # 2



เพ้นท์เล็บสีม่วงอ่อนเข้มและทาทับด้วยสีเลื่อมกากเพชร



เพ้นท์เล็บสีน้ำตาลตัดเฉียงด้วยสีขาว



เพ้นท์เล็บโดยทำทิปสีแดงแล้วทาทับด้วยสีเลื่อมกากเพชร



เพ้นท์เล็บสีเขียวเข้ม เฉียงปลายด้วยสีส้ม และดอกไม้สีขาว



เพ้นท์เล็บสีชมพู ดอกไม้สีขาว ใช้สีกากเพชรทำเกสรดอกไม้


เพ้นท์เล็บพื้นสีชมพูอมส้มอ่อนๆ ทาทับด้วยสีเลื่อมกากเพชร



เปรียบเทียบการศึกษาไทยและฟินแลนด์ ทำไมเขาที่ 1 แต่เราเกือบโหล่

ฟินแลนด์ ประเทศเล็กๆในยุโรปตอนบน มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน มีความน่าสนใจมากในด้านการพัฒนาคุณภาพคนของเขา คนที่นี่มีคุณภาพ มีชีวิตความเป็นอยู่ดี มีความเหลื่อมล้ำทางเศรฐกิจน้อยมาก เพราะมีการเก็บภาษีสูงและมีการพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง

ในการสำรวจประเมินผลดัชนีทางการศึกษาล่าสุด นักเรียนของฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักเรียนที่มีคุณภาพที่สุดในโลก

การจัดอันดับนี้ทำโดยองค์กรความร่วมมือทางเศรฐกิจและพัฒนา ซึ่งใช้รูปแบบการวัดผลที่เน้นวัดความรู้ในการแก้ปัญหาและการใช้ภาษาของคนทั่วโลกที่ชื่อ PISA (Program for International Student Assessment )

สิ่งที่น่าแปลกคือ การจัดการศึกษาของเขากับของเรา มันช่างตรงกันข้ามจริงๆ ครับ

เรื่องแรก ที่ฟินแลนด์ จะให้เด็กเรียนเมื่ออายุ 6-7 ขวบ เขาไม่เน้นโรงเรียนอนุบาล เพราะอยากให้เด็กอยู่กับครอบครัว เขาเชื่อว่าครอบครัวให้ความรัก ความรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรม สร้างสิ่งดีงามให้เด็กได้ดีกว่าโรงเรียนอนุบาล

ส่วนบ้านเรา แข่งกันเข้าอนุบาล เดี๋ยวนี้มีติวเข้าอนุบาลกันแล้ว

เรื่องที่ 2 เด็กที่นี่เรียนไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมง (ในระดับประถม) ด้วยแนวคิดที่จะให้เด็กมีเวลาทำสิ่งที่ชอบกิจกรรมที่สนใจ

ส่วนเด็กไทย อัดกันเข้าไป

เรื่องที่ 3 ห้องเรียนเขากำหนดให้มีเด็กห้องละ 12 คนมากสุดก็ 20 คนครับ โรงเรียนยิ่งดีก็ยิ่งจำกัดจำนวนเด็กต่อห้อง เพราะเขาจะพัฒนาคน และคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เขาอยากพัฒนาศักยภาพที่เด็กแต่ละคนมี การดูแลเป็นรายคนจึงสำคัญ

ส่วนของเรา บางโรงเรียน ห้องละ 50 คนครับ

เรื่องที่ 4 เขาไม่ให้เกรดเฉลี่ยมาเป็นตัวสร้างความภูมิใจ หรือ อับอายให้เด็ก การเรียนคือการพัฒนาแต่ละคนไม่ใช่การแข่งขัน ประเทศนี้จึงไม่มีเกรดเฉลี่ยครับ

เรื่องที่ 5 การสอบ เขาจะไม่ใช้ข้อสอบมาตรฐาน มาเป็นตัววัดนักเรียนทั้งประเทศ เขาให้โรงเรียนกำหนดข้อสอบที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโรงเรียน

เรื่องที่ 6 เขาจ้างผู้อำนวยการมาบริหาร และให้กรรมการโรงเรียนดูแล ผลงานไม่ดีก็เชิญออกได้ เขาไม่ได้ใช้ระบบราชการ ระบบวิ่งเต้นเอาใจนักการเมือง เอาใจผู้ใหญ่ในกระทรวง หรือใครมีอายุราชการนานแค่ไหน โรงเรียนเขาจึงมีคุณภาพครับ

เรื่องสุดท้ายของวันนี้ (ความจริงมีอีกเยอะครับ) คือ ครูของเขาทุกคนตั้งใจอยากเป็นครู คนที่เก่งที่สุดของประเทศจะแข่งกันเป็นครู ครูทุกคนจบการศึกษาด้านครูในระดับปริญญาโท ส่วนใครเรียนด้านอื่นก็ต้องไปต่อ ป.โทด้านครูครับ จึงมาสมัครสอนได้

แค่นี้คงพอมองออกนะครับว่าเราทำการศึกษาตรงข้ามเขาขนาดนี้ผลงานมันเลยออกมาตรงข้ามกันครับ

เรื่องโดย : อ.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์

ความทรงจำ


บางคราวยังเหมือนว่าเธออยู่ตรงนี้
เรื่องราวที่ดีก็ยังฝังใจ
บางความทรงจำเก่าๆ
ก็ยังงดงามไม่คลาย
กระจ่างอยู่ข้างใน เมื่อไรที่คิดขึ้นมา

บางทียังคิดว่าเธออยู่ที่ไหน
แล้วเคยหรือไม่ที่คิดเหมือนกัน
คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ
แล้วยังทบทวนถึงมัน
สิ่งที่ดีกับคืนและวันของฉันและเธอ

* และยังคงยิ้ม ยิ้มทั้งน้ำตา
ที่ผ่านไปแล้วไม่หวนคืนมาก็ไม่เสียดาย
แค่เพียงคิดถึงว่าเคยได้มี
บางครั้งก็ยังชื่นใจ
แม้จะมีเก็บไว้แค่ความทรงจำ

อยากเก็บเอาไว้แค่เพียงสิ่งดีๆ
ถึงวันนี้มีแต่ความเหงาใจ

ถึงแม้ว่าเราจะห่าง
แยกคนละทางที่ไป
ก็เป็นเพียงแค่ความสุขใจ
เมื่อคิดถึงเธอ

(*)

อยากเก็บเอาไว้แค่เพียงสิ่งดีๆ
ถึงวันนี้มีแต่ความเหงาใจ
มีเพียงบางครั้ง
ที่อาจจะยังสงสัย
ว่าเธอเองจะเคยบ้างไหม
ที่คิดเหมือนกัน
ว่าเธอเองจะเคยบ้างไหม
ที่คิดเหมือนกัน

ศิลปิน : แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร

ท่องเที่ยวไปในกรุงริก้า (Riga) เมืองหลวงของประเทศลัทเวีย

กรุงริก้า (Riga) เป็นเมืองหลวงของประเทศลัทเวีย (Republic of Latvia) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคยุโรปเหนือ กรุงริก้าตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลบอลติก บนปากแม่น้ำเดากาวา (Daugava) มีพิกัดภูมิศาสตร์อยู่ที่ละติจูด 56°58′เหนือ กับลองจิจูด 24°8′ตะวันออก กรุงริก้าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในกลุ่มรัฐบอลติก และเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม การศึกษา การเมืองการปกครอง ธุรกรรม พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรมในแถบนี้

นอกจากนี้ ศูนย์ประวัติศาสตร์รีกา (Historic Centre of Riga) ยังได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นแหล่งมรดกโลกด้วย

มาดูภาพสวยๆ ของเมืองหลวงแห่งนี้กัน




















 



ดอกไม้ฤดูร้อน สวยๆ

ดอกไม้ผลิบานในฤดูร้อน สีสันสวยงาม ผ่อนคลายจิตใจ


สีบานเย็น สดสวย


สวยและหอม




ดอกสีขาว เกิดขึ้นเองตามสนามหญ้าและในป่าทั่วไป



ดอกสีขาวและม่วงคล้ายดอกบานไม่รู้โรย เกิดเองที่สนามหญ้า



สีขาว สวยและหอมมาก




สีขาว ต้นสูง


กุหลาบสีชมพู




สีม่วงใสๆ


สีน้ำเงินใส



รั้วสีชมพู



ดูใกล้ๆ




นี่ก็สีบานเย็นสวยๆ




กลีบดอกสีชมพูเกสรสีขาว




ดอกตูมสีม่วง



ดอกสีขาวฝอย



ดอกหญ้า




สีเหลืองริมรั้ว




สีชมพูริมรั้ว



สีเขียวเหลืองชวนพิศ

กระโปรงยาว

เคล็ดลับดี ๆ ในการเลือกใส่ กระโปรงยาว

1) ห้ามใส่กระโปรงยาวที่มีสีเดียวกะสีเสื้อเด็ดขาด เพราะคุณจะดูป้ามาก ๆ

2) หากคุณมีรูปร่างค่อนข้างอวบอ้วน ห้ามใส่กระโปรงยาวกรอมเท้า เพราะคุณจะเหมือนถังเดินได้ดีๆ นั่นเอง

3) สาวสะโพกใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงการใส่กระโปรงยาวลายจุด เพราะมันจะยิ่งเสริมให้สะโพกคุณดูใหญ่ขึ้นอีก

4) ห้ามใส่กระโปรงยาวกับรองเท้าส้นตึก เพราะมันดูไม่เข้ากันเลยสักนิด คุณควรใส่รองเท้าเปลือยเท้าเก๋ ๆ จะดูเข้ากันดี ที่สำคัญ อย่าลืมรักษาความสะอาดของเล็บเท้ากันด้วยล่ะ

5) ควรใส่กระโปรงยาวกับเสื้อเข้ารูป อาจเป็นเสื้อกล้ามหรือเสื้อมีแขนเก๋ ๆ เพราะหากว่าคุณใส่เสื้อตัวใหญ่กับกระโปรงยาว แล้วโดนเรียกว่า "ยาย" ไม่รู้ด้วยนะ

ทำไมต้องจ้าง สถาปนิกและวิศวกร

ปลูกบ้านหลังเล็กๆ ทำไมต้องเสียเงินจ้างสถาปนิกและวิศวกร?


ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็เพราะว่าทั้ง 2 ต้องเซ็นชื่อลงในแบบก่อสร้างเพื่อยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างกับทางสำนักงานเขตครับ แต่ถ้าจะตอบด้วยเหตุและผลก็อาจจะยาวหน่อย เพราะเมื่อท่านยินดีว่าจ้างสถาปนิกและวิศวกร โดยยอมจ่ายเงินประมาณ 7.5 % จากราคาค่าก่อสร้าง เงินนี้จะมีผลผูกพันให้ สถาปนิกจะต้องทำหน้าที่ต่อไปนี้ให้กับท่านคือ

1. ให้คำปรึกษาเกือบทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง อย่างเช่น จะออกแบบบ้านอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งานของเจ้าของบ้าน จะหาผู้รับเหมาได้จากที่ไหน หรือแม้กระทั่งจะกู้เงินกับธนาคารอย่างไร

2. ทำหน้าที่คอยประสานงานกับวิศวกรโครงสร้าง หากโครงการมีขนาดใหญ่อาจต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำทีมคอยประสานงานเพิ่มเติมกับ วิศวกรไฟฟ้า วิศวกรสุขาภิบาล วิศวกรเครื่องกล มัณฑนากร หรือภูมิสถาปนิก ตามความซับซ้อนของงาน

3. ออกแบบเบื้องต้น และพัฒนาแบบดีไซน์ ในขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สถาปนิกจะต้องใช้ความคิดและประสบการณ์การทำงานส่วนตัวทั้งหมดที่มี วิเคราะห์สภาพแวดล้อม ศึกษาข้อกำหนดของกฎหมายที่มีผลกับที่ดินและลักษณะของอาคาร กำหนดแนวความคิดในการออกแบบ วางผังอาคาร เพื่อตอบโจทย์หรือความต้องการทั้งหมดของเจ้าของบ้าน จากนั้นก็พัฒนาแบบจนเจ้าของบ้านพอใจหรือตามแต่ที่จะตกลงกันไว้

4. ทำแบบก่อสร้าง เพื่อนำไปใช้ในการสร้าง ซึ่งแบบก่อสร้างนี้มักจะประกอบไปด้วย ผังพื้น ผังหลังคา รูปตัด รูปด้าน และแบบขยายรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ช่างก่อสร้างทราบถึงรายละเอียดของ ตำแหน่ง ขนาด และวัสดุที่จะใช้งานและก่อสร้าง โดยแบบดังกล่าวจะต้องนำไปยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างกับทางสำนักงานเขต เพื่อเป็นหลักฐานแสดงสิทธิในการก่อสร้าง

5. ทำการประมูลและเจรจาต่อรอง สถาปนิกอาจทำการประเมินราคาค่าก่อสร้างอาคารจากแบบก่อสร้าง และช่วยเจ้าของบ้านหาผู้รับเหมาที่จะมาทำหน้าที่รับงานก่อสร้าง โดยผ่านวิธีการประมูลราคาจากผู้รับเหมาหลายๆ รายเพื่อเปรียบเทียบ และเจรจาต่อรองก่อนตัดสินใจ

6. บริหารงานก่อสร้าง สถาปนิกผู้ออกแบบจะต้องหมั่นเข้าไปดูแลงานก่อสร้างว่าถูกต้องและเป็นไปตามแบบก่อสร้างที่ออกแบบหรือเมื่อมีปัญหาที่เกี่ยวกับแบบก่อสร้าง และทำหน้าที่คอยประสานงานกับเจ้าของบ้าน ผู้รับเหมา และวิศวกร เพื่อให้การก่อสร้างดำเนินการจนแล้วเสร็จ

7. ให้คำปรึกษาในการซ่อมบำรุง หลังจากที่บ้านสร้างเสร็จแล้วสถาปนิกมีหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและดูแลแก้ไขปัญหาที่เป็นผลเกิดขึ้นจากการออกแบบของสถาปนิก ถึงแม้ว่าผู้รับเหมาโดยส่วนใหญ่จะรับประกันงานก่อสร้างเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี แต่หลังจากนั้น เมื่อมีปัญหาเจ้าของบ้านก็สามารถติดต่อขอคำปรึกษาจากสถาปนิกผู้ออกแบบได้เช่นกันครับ

นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายจำนวนดังกล่าวยังจะครอบคลุมไปถึงวิศวกรผู้ที่จะทำงานร่วมกับสถาปนิกที่ท่านว่าจ้าง โดยหน้าที่ของวิศวกรจะเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในช่วงตั้งแต่สถาปนิกเริ่มกระบวนการในการออกแบบเบื้องต้น โดยมีหน้ารับผิดชอบดังต่อไปนี้

1. ให้คำปรึกษาแก่สถาปนิก ในเรื่องของโครงสร้างบ้าน ทั้งในมุมของโครงสร้างที่เหมาะสมกับการออกแบบ ความเหมาะสมของโครงสร้างกับราคาค่าก่อสร้าง เพื่อให้สถาปนิกนำไปใช้ประกอบในการพัฒนาแบบบ้านหรืออาคาร

2. ออกแบบโครงสร้าง วิศวกรจะต้องพยายามออกแบบโครงสร้างให้รองรับแบบที่สถาปนิกพัฒนาขึ้น

3. ทำรายการคำนวณโครงสร้าง เพื่อใช้ประกอบการยื่นแบบเพื่อขอใบอนุญาตก่อสร้าง

4. วิศวกรจะต้องหมั่นเข้าไปดูแลงานโครงสร้างที่ตนเองเป็นผู้ออกแบบ ให้เป็นไปตามแบบที่คำนวณไว้หรือเมื่อมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างเกิดขึ้น

5. ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดจากโครงสร้าง วิศวกรมีหน้าที่ต้องคอยให้คำปรึกษาแก่สถาปนิกเมื่อโครงสร้างของบ้านมีปัญหาเกิดขึ้นในภายหลังจากที่การก่อสร้างเสร็จสิ้นเรียบร้อยเช่นเดียวกันกับสถาปนิก

หากไม่นับภาระในข้อสุดท้ายของทั้งสถาปนิกและวิศวกร เงินจำนวน 7.5% ของราคาค่าก่อสร้างที่ใช้ว่าจ้างสถาปนิกและวิศวกร หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาในการทำงานประมาณ 1 ปี แต่เมื่อนับรวมภาระหน้าที่รับผิดชอบในข้อสุดท้าย เงินจำนวนดังกล่าวถือว่าไม่เยอะเลยครับ สำหรับบ้านของท่านหลังหนึ่งซึ่งอาจมีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป รู้แล้วใช่ไหมครับว่าทำไมท่านจึงควรจ้างสถาปนิกและวิศวกร

ขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารบ้านและสวน

เพนท์เล็บสวยๆ ชุดที่ 1


เพนท์เล็บเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ทำให้เล็บมีลวดลายสวยงาม โดยการใช้ยาทาสีเล็บ สีอครีลิก สีเพนท์เล็บหรือสีอื่นๆ ที่ปลอดภัยต่อร่างกาย

1.) การเพนท์เล็บสามารถทำได้โดยเริ่มจากตกแต่ง ตัด ตะไบ  ทำความสะอาดเล็บก่อน ซึ่งอาจจทำความสะอาดโดยใช้สำลีชุบน้ำยาล้างเล็บเช็ดเล็บให้สะอาดก็ได้ น้ำยาล้างเล็บที่ปลอดภัยไม่เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งคือน้ำยาล้างเล็บที่ปราศจากอะซีโตน ซึ่งภาษาอังกฤษอาจจะเขียนว่า no acetone หรือ acetone free ก็ได้
2.) หลังจากทำความสะอาดเล็บแล้วก็ทารองพื้น (base coat)ให้เล็บก่อน
3.) รอสักพักให้แห้งแล้วก็เพนท์เล็บลวดลาย สีสัน ที่ต้องการ
4.) รอให้สีที่เพนท์เล็บแห้งแล้วก็ทาน้ำยาเคลือบเล็บ ( top coat)ทับลงไปให้ติดทนนาน
5.) รอให้แห้งสนิทก่อนที่จะใช้มือที่เพนท์เล็บสวยๆ หยิบจับสิ่งของหรือทำงานเพื่อที่จะได้ไม่ทำให้เล็บที่ยังไม่แห้งเกิดรอยถลอก ต้องล้างออก เพนท์ใหม่อีก เสียเวลาเปล่า
6.) ถ้าต้องไปงาน สมัครงาน สัมภาษณ์งาน ติดต่อราชการหรือธุรกิจใดๆที่คิดว่าลายเพนท์เล็บสวยๆ ที่มีอยู่ไม่เหมาะสม เอาออกก่อนดีกว่า ก็ใช้น้ำยาล้างเล็บแบบปราศจากอะซีโตนล้างออก

ขอให้สนุกและมีความสุขกับการเพนท์เล็บตามสไตล์ของตัวเอง

Nails art gallery # 1

เพนท์เล็บโดยทำ ทิปสีม่วง ดอกไม้สีส้ม

เพนท์เล็บโดยทำเสี้ยวเล็บสีชมพูหวานกับดอกไม้สีขาว

เพนท์เล็บสีแดงสามชั้นสวยๆ

เพนท์เล็บโดยทำทิปสีเหลือง ดอกไม้สีม่วง

เพนท์เล็บสีน้ำเงิน ฟ้า ประกายเพชร