25 วิธีดูแลความรัก


หากรักที่เคยสร้างสุข กลายมาเป็นหมดรัก ชีวิตย่อมเป็นทุกข์ ความรักที่มีจึงต้องดูแลอย่างดี เพื่อให้ความรักนั้นไม่จากไป ดังเช่น 25 วิธี ต่อไปนี้

1. อย่าเขินที่จะบอกรัก

2. จดจำรายละเอียดของอีกฝ่าย เช่น ชอบทานอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน กิจกรรมสุดโปรดคืออะไร แล้วหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เสมอ

3. โรแมนติกอย่างรู้กาละเทศะ เลือกสถานที่ให้ถูกที่ เลือกเวลาให้ถูกเวลา เรื่องโรแมนซ์ใครก็ชอบ แต่ความพอเหมาะพอดีก็สำคัญ

4. ให้เกียรติกันและกันเสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

5. อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธอยู่เหนือความรักที่มี นึกถึงเรื่องดีๆ ที่เขาเคยทำให้ จะช่วยให้อารมณ์โกรธหรืออารมณ์ชั่ววูบเบาบางลง

6. เมื่อมีปัญหาควรใช้เหตุผลในการพูดคุย เป็นเรื่องธรรมดาที่คนสองคนจะมีเรื่องขัดแย้ง แต่ถ้าทั้งคู่พร้อมที่จะปรับตัวเข้าหากัน ปัญหาทั้งหลายก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก

7. ปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาเป็นของตัวเอง การเกาะติด ควบคุมมีแต่จะทำให้ความรักจืดจางได้ง่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง รวมทั้งพยายามให้ตัวเองมีโลกส่วนตัวบ้าง จะได้ไม่อึดอัดเช่นกัน

8. พูดกันตรงๆ โดยเลือกใช้คำพูดที่ไม่ทำร้ายจิตใจ

9. มีขอบเขตในการปรับตัว แน่นอนว่าต่างฝ่ายทั้งเราและเขาต่างต้องปรับตัวเข้าหากัน แต่ควรมีขอบเขต ไม่ใช่ยอมเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบที่อีกฝ่ายต้อวการทุกอย่าง จนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนตคั้นหาคำตอบหาอีกฝ่ายยังไม่พร้อม การดึงดันให้รู้เดี๋ยวนั้น ว่าทำไม? เพราะอะไร? จะเอายังไง? เป็นการกดดันอีกฝ่ายอย่างไม่มีประโยชน์ หากอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ควรลองถอยออกมาหนึ่งก้าว ทำใจให้สงบ รอจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะพร้อม แล้วค่อยคุยกันใหม่ก็ยังไม่สาย

12. ดูแลตัวเองให้ดูดีเสมอ

13. ไม่ควรคาดหวังกับความรัก เพราะเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว อย่าคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำนั่นทำนี้ให้ เพราะถ้าผิดหวังจะเสียใจทั้งสองฝ่าย ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

14. ห้ามพูดถ้อยคำหยาบคาย จะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน ก็ห้ามด่าทอกันเสียๆ หายๆ

15. ซื่อสัตย์และไว้ใจกัน

16. หาสิ่งของที่ต้องดูแลร่วมกัน เช่น เลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ หรือกิจการเล็กๆ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างสองคน

17. ให้โอกาสอีกฝ่ายแก้ไขข้อผิดพลาด กับคนที่เรารักยิ่งต้องให้อภัยและให้โอกาส

18. อย่าอายที่จะขอโทษ

19. หากิจกรรมสร้างสรรค์ทำร่วมกัน เช่น ชวนกันเล่นกีฬา ไปดูงานศิลปะ เพื่อให้ความรักสดใส และได้พบสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

20. นึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอ อย่ามัวแต่คิดว่าทำไมอีกฝ่ายไม่เข้าใจเรา นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังทำให้เป็นคนขี้น้อยใจอย่างไม่มีเหตุผล

21. รู้สึกดีกับสังคมที่อยู่ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน เพื่อยกระดับจิตใจและทำให้ภูมิใจในตัวเอง

22. อย่าปิดกั้นโอกาส เปิดตัวเองให้จักคนที่หลากหลาย จะทำให้รู้คุณค่าคนใกล้ตัวและรู้ใจตัวเอง

23. รู้จักใช้ภาษากายในการสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย เช่น จับมือ ลูบหลัง เพราะสามารถสื่อความในใจได้ดีกว่าคำพูดในหลายโอกาส

24. คิดถึงอนาคต แต่อย่าพูดบ่อยจนกลายเป็นการควบคุมผูกมัด พูดในจังหวะที่เหมาะสม ให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในแผนการอนาคตของกันและกัน

25. รู้จักรักตัวเอง เพื่อให้สามารถรักคนอื่นได้เช่นกัน




วิธี "คุมกำเนิด" อย่างไรไม่ให้ตั้งครรภ์

ที่ประชุมองค์การอนามัยโลกปี 2552 ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีทั่วโลกอยู่ที่ 65 ต่อ 1,000 คน ส่วนค่าเฉลี่ยของผู้หญิงในทวีปเอเชียอยู่ที่ 56 ต่อ 1,000 คน โดยประเทศไทยมีผู้หญิงตั้งครรภ์ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 70 ต่อ 1,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดของประเทศในทวีปเอเชีย

ทั้งนี้ ปัจจุบันตัวเลขการตั้งครรภ์ของผู้หญิงไทยที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 90-100 ต่อ 1,000 คนแล้ว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

โอ๊ะ โอ๋....ถ้าคนไทยตั้งใจทำอะไร ไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงจริ๊ง!!

ดังนั้นการ “คุมกำเนิด” จึงจำเป็นมากต่อสาวใดที่รักสนุกไม่พร้อมจะป่อง หรือไม่อยากจะพลาดท้องก่อนแต่ง แถมฝ่ายชายบางนายมันอาจจะใจสุนัขไล่ไปทำแท้ง กลายเป็นคนบาป ผีเด็กเกาะติดตัวไปซะทุกชาติไปแบบที่ อาจารย์ริว จิตสัมผัส เขาว่าไว้

รักกันไม่ผิด แต่หากริจะมีเซ็กซ์ต้องป้องกันการมีบุตรทุกครั้งไป หากคุณสาวๆยังไม่พร้อม เรามาดูกันจ๊ะ ว่า การคุมกำเนิดเขามีวิธีอะไรบ้าง

วิธีแรก
->ให้แฟนใส่ถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัย เป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดหาซื้อได้ง่าย ใช้ง่าย ราคาไม่แพง มีทุกเซเว่น ซื้อง่าย ขายคล่อง สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย ปัจจุบันมีออกมาจำหน่ายมากมายตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นผิวสัมผัส ลื่น ขรุขระ กลิ่นสตรอเบอรี่ บลูเบอร์รี่อะไรก็สุดแล้วแต่จะโปรด หรือบางชนิดก็มีการเคลือบสารเคมีฆ่าเชื้ออสุจิ ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามความพอใจ แต่มีข้อควรระวังคือ ผู้หญิงบางคนอาจจะแพ้วัสดุที่ผลิตถุงยางได้ ดังนั้น ควรเลือกถุงยางที่ผลิตจากยางธรรมชาติ จะเริ่ดที่สุด

วิธีสอง
->กินยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิด เป็น วิธีการคุมกำเนิดที่นิยมกันมากที่สุด และให้ผลดี ซึ่งผลของยาคือ ทำให้ไข่ไม่ตก แต่ก็เป็นหน้าที่ของคุณผู้หญิงที่ต้องไม่ลืมรับประทานยา เพราะถ้าลืมบ่อยๆ ก็อาจจะผิดพลาดเกิดการตกไข่ขึ้นมาได้ และการรับประทานยาคุมกำเนิดนี้ บางคนอาจจะมีอาการแพ้ หรือมีประจำเดือนผิดปกติ จึงต้องสังเกตตัวเองให้ดี

วิธีสาม
->ยาฝังคุมกำเนิด
ยาฝังคุมกำเนิด เป็นการนำฮอร์โมนมาฝังไว้ใต้ผิวหนังช่วงแขนด้านใน ซึ่งเมื่อฝังยานี้เข้าไปแล้วจะคุมกำเนิดได้ถึง 3-5 ปี ถ้าคู่ไหนคิดว่าอยากมีลูกห่างกันขนาดนี้ วิธีนี้ก็สะดวกดีนะ

แต่ดูน่ากลัวก็ตรงฝังแขนนี่แหล่ะ จึงไม่เป็นที่นิยม ฮอตติดลมบนมากนัก

วิธีสี่
->ฉีดยาคุมกำเนิด
เหมาะมากกับคุณผู้หญิงที่ชอบขี้ลืมกินยา เพราะยาคุมมีผลในการคุมกำเนิดเพียงแค่ 1 วัน ส่วนหากใช้วิธีฉีดยาคุมนั้นส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์คุมกำเนิดได้ 3 เดือน ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดียวกับชนิดยากิน แต่มีข้อเสียคือ บางคนอาจจะรอบเดือนไม่มา หรือมากะปริบกะปรอย ซึ่งอาจจะสร้างความอึดอัด หรือรำคาญให้กับคุณสาวๆบางนางได้ และบางรายอาจจะมีอาการแพ้ยาฉีด น่ากลัวชะมัด!

วิธีห้า
->ใส่ห่วงอนามัย
เป็นการใส่เครื่องมือในโพรงมดลูก เหมาะกับผู้หญิงที่เคยมีลูกแล้ว และมีอาการแพ้ยาคุมชนิดกินหรือฉีด ห่วงอนามัยจะมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่มีตัวยา และไม่มีตัวยาใดๆ การใส่ห่วงต้องให้คุณหมอเป็นผู้ใส่ให้ อยากมีลูกตอนไหน ก็ให้คุณหมอถอดออกให้ และโดยปกติจะใส่ครั้งละ 3 ปี

วิธีหก
->นับวัน
เรามักจะได้ยินกันว่า ระยะปลอดภัยจากการตั้งครรภ์คือ “หน้า 7 หลัง 7” จากวันที่มีประจำเดือน ซึ่งหมายถึง การกะประมาณระยะเวลาที่ไข่ไม่ตก ดังนั้นจึงปฏิบัติภารกิจโป้งชึ่งกันได้ แต่ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป การคุมกำเนิดวิธีนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีประจำเดือนคลาดเคลื่อน ฉะนั้นถ้าไม่แน่ใจ และไม่อยากพลาด ไม่ควรใช้วิธีนี้!

วิธีเจ็ด
->หลั่งข้างนอก
วิธีนี้ต้องอาศัยวิทยายุทธ์บู้ลิ้มของฝ่ายชาย ว่าสามารถหลั่งข้างนอกโพรงมดลูกได้ทันหรือไม่ ถ้าแน่ใจก็อาจจะได้ผลคุมกำเนิดอย่างชัวร์เพียงแค่ 80% เท่านั้น เพราะโดยปกติ ก่อนที่จะถึงจุดสุดยอดโดยมีน้ำอสุจิหลั่งออกมา อาจจะมีน้ำเชื้อที่ซึมๆ ออกมาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ ดังนั้นวิธีนี้อาจจะเสี่ยงเกินไปสำหรับผู้ชายที่วิทยายุทธยังไม่แกร่งกล้า ผ่านศึกไม่โชกโชนมากนัก!

วิธีสุดท้าย
->ทำหมัน
การคุมกำเนิดแบบถาวร หรือศัพท์ง่ายๆตามภาษาชาวบ้าน คือ การทำหมัน นั่นเอง วิธีนี้คุณต้องแน่ใจแล้วว่าไม่ต้องการจะมีลูกอีก สามารถทำได้ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย
โดยการทำหมันชาย คือ การเจาะรูเล็กๆ ประมาณ 1 เซนติเมตร เข้าไปผูกท่อนำตัวอสุจิ ใช้เวลาน้อยกว่าการทำหมันหญิงมาก มีแผลเพียงเล็กน้อย และไม่ต้องนอนค้างโรงพยาบาลแต่อย่างใด และไม่มีผลใดๆ ต่อสมรรถภาพทางเพศ ยังดึ๋งดั๋ง โด่ไม่รู้ล้มได้อยู่ ทว่า ผู้ชายบางคนอาจยังมีอคติต่อการทำหมันอยู่ซะส่วนใหญ่
ส่วนทำหมันหญิง จะ คล้ายผู้ชาย คือ การผ่าตัดผูกท่อนำไข่ เป็นการป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิเข้าไปผสมกับไข่ที่ปีกมดลูก คุณแม่ท่านใดที่ตัดสินใจทำหมันหลังจากคลอดลูกภายใน 24 ชั่วโมง จะเรียกว่าทำหมันเปียก แต่ถ้ามาทำภายหลัง เรียกว่า ทำหมันแห้งนะจ๊ะ

ที่มา http://www.manager.co.th/

เพนท์เล็บสวยๆ ชุดที่ 2

ตัวอย่างการเพนท์เล็บด้วยตนเอง ชุดที่ 2
Nails art Gallery # 2



เพ้นท์เล็บสีม่วงอ่อนเข้มและทาทับด้วยสีเลื่อมกากเพชร



เพ้นท์เล็บสีน้ำตาลตัดเฉียงด้วยสีขาว



เพ้นท์เล็บโดยทำทิปสีแดงแล้วทาทับด้วยสีเลื่อมกากเพชร



เพ้นท์เล็บสีเขียวเข้ม เฉียงปลายด้วยสีส้ม และดอกไม้สีขาว



เพ้นท์เล็บสีชมพู ดอกไม้สีขาว ใช้สีกากเพชรทำเกสรดอกไม้


เพ้นท์เล็บพื้นสีชมพูอมส้มอ่อนๆ ทาทับด้วยสีเลื่อมกากเพชร



เปรียบเทียบการศึกษาไทยและฟินแลนด์ ทำไมเขาที่ 1 แต่เราเกือบโหล่

ฟินแลนด์ ประเทศเล็กๆในยุโรปตอนบน มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน มีความน่าสนใจมากในด้านการพัฒนาคุณภาพคนของเขา คนที่นี่มีคุณภาพ มีชีวิตความเป็นอยู่ดี มีความเหลื่อมล้ำทางเศรฐกิจน้อยมาก เพราะมีการเก็บภาษีสูงและมีการพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง

ในการสำรวจประเมินผลดัชนีทางการศึกษาล่าสุด นักเรียนของฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักเรียนที่มีคุณภาพที่สุดในโลก

การจัดอันดับนี้ทำโดยองค์กรความร่วมมือทางเศรฐกิจและพัฒนา ซึ่งใช้รูปแบบการวัดผลที่เน้นวัดความรู้ในการแก้ปัญหาและการใช้ภาษาของคนทั่วโลกที่ชื่อ PISA (Program for International Student Assessment )

สิ่งที่น่าแปลกคือ การจัดการศึกษาของเขากับของเรา มันช่างตรงกันข้ามจริงๆ ครับ

เรื่องแรก ที่ฟินแลนด์ จะให้เด็กเรียนเมื่ออายุ 6-7 ขวบ เขาไม่เน้นโรงเรียนอนุบาล เพราะอยากให้เด็กอยู่กับครอบครัว เขาเชื่อว่าครอบครัวให้ความรัก ความรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรม สร้างสิ่งดีงามให้เด็กได้ดีกว่าโรงเรียนอนุบาล

ส่วนบ้านเรา แข่งกันเข้าอนุบาล เดี๋ยวนี้มีติวเข้าอนุบาลกันแล้ว

เรื่องที่ 2 เด็กที่นี่เรียนไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมง (ในระดับประถม) ด้วยแนวคิดที่จะให้เด็กมีเวลาทำสิ่งที่ชอบกิจกรรมที่สนใจ

ส่วนเด็กไทย อัดกันเข้าไป

เรื่องที่ 3 ห้องเรียนเขากำหนดให้มีเด็กห้องละ 12 คนมากสุดก็ 20 คนครับ โรงเรียนยิ่งดีก็ยิ่งจำกัดจำนวนเด็กต่อห้อง เพราะเขาจะพัฒนาคน และคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เขาอยากพัฒนาศักยภาพที่เด็กแต่ละคนมี การดูแลเป็นรายคนจึงสำคัญ

ส่วนของเรา บางโรงเรียน ห้องละ 50 คนครับ

เรื่องที่ 4 เขาไม่ให้เกรดเฉลี่ยมาเป็นตัวสร้างความภูมิใจ หรือ อับอายให้เด็ก การเรียนคือการพัฒนาแต่ละคนไม่ใช่การแข่งขัน ประเทศนี้จึงไม่มีเกรดเฉลี่ยครับ

เรื่องที่ 5 การสอบ เขาจะไม่ใช้ข้อสอบมาตรฐาน มาเป็นตัววัดนักเรียนทั้งประเทศ เขาให้โรงเรียนกำหนดข้อสอบที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโรงเรียน

เรื่องที่ 6 เขาจ้างผู้อำนวยการมาบริหาร และให้กรรมการโรงเรียนดูแล ผลงานไม่ดีก็เชิญออกได้ เขาไม่ได้ใช้ระบบราชการ ระบบวิ่งเต้นเอาใจนักการเมือง เอาใจผู้ใหญ่ในกระทรวง หรือใครมีอายุราชการนานแค่ไหน โรงเรียนเขาจึงมีคุณภาพครับ

เรื่องสุดท้ายของวันนี้ (ความจริงมีอีกเยอะครับ) คือ ครูของเขาทุกคนตั้งใจอยากเป็นครู คนที่เก่งที่สุดของประเทศจะแข่งกันเป็นครู ครูทุกคนจบการศึกษาด้านครูในระดับปริญญาโท ส่วนใครเรียนด้านอื่นก็ต้องไปต่อ ป.โทด้านครูครับ จึงมาสมัครสอนได้

แค่นี้คงพอมองออกนะครับว่าเราทำการศึกษาตรงข้ามเขาขนาดนี้ผลงานมันเลยออกมาตรงข้ามกันครับ

เรื่องโดย : อ.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์

ความทรงจำ


บางคราวยังเหมือนว่าเธออยู่ตรงนี้
เรื่องราวที่ดีก็ยังฝังใจ
บางความทรงจำเก่าๆ
ก็ยังงดงามไม่คลาย
กระจ่างอยู่ข้างใน เมื่อไรที่คิดขึ้นมา

บางทียังคิดว่าเธออยู่ที่ไหน
แล้วเคยหรือไม่ที่คิดเหมือนกัน
คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ
แล้วยังทบทวนถึงมัน
สิ่งที่ดีกับคืนและวันของฉันและเธอ

* และยังคงยิ้ม ยิ้มทั้งน้ำตา
ที่ผ่านไปแล้วไม่หวนคืนมาก็ไม่เสียดาย
แค่เพียงคิดถึงว่าเคยได้มี
บางครั้งก็ยังชื่นใจ
แม้จะมีเก็บไว้แค่ความทรงจำ

อยากเก็บเอาไว้แค่เพียงสิ่งดีๆ
ถึงวันนี้มีแต่ความเหงาใจ

ถึงแม้ว่าเราจะห่าง
แยกคนละทางที่ไป
ก็เป็นเพียงแค่ความสุขใจ
เมื่อคิดถึงเธอ

(*)

อยากเก็บเอาไว้แค่เพียงสิ่งดีๆ
ถึงวันนี้มีแต่ความเหงาใจ
มีเพียงบางครั้ง
ที่อาจจะยังสงสัย
ว่าเธอเองจะเคยบ้างไหม
ที่คิดเหมือนกัน
ว่าเธอเองจะเคยบ้างไหม
ที่คิดเหมือนกัน

ศิลปิน : แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร