เปรียบเทียบการศึกษาไทยและฟินแลนด์ ทำไมเขาที่ 1 แต่เราเกือบโหล่

ฟินแลนด์ ประเทศเล็กๆในยุโรปตอนบน มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน มีความน่าสนใจมากในด้านการพัฒนาคุณภาพคนของเขา คนที่นี่มีคุณภาพ มีชีวิตความเป็นอยู่ดี มีความเหลื่อมล้ำทางเศรฐกิจน้อยมาก เพราะมีการเก็บภาษีสูงและมีการพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง

ในการสำรวจประเมินผลดัชนีทางการศึกษาล่าสุด นักเรียนของฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักเรียนที่มีคุณภาพที่สุดในโลก

การจัดอันดับนี้ทำโดยองค์กรความร่วมมือทางเศรฐกิจและพัฒนา ซึ่งใช้รูปแบบการวัดผลที่เน้นวัดความรู้ในการแก้ปัญหาและการใช้ภาษาของคนทั่วโลกที่ชื่อ PISA (Program for International Student Assessment )

สิ่งที่น่าแปลกคือ การจัดการศึกษาของเขากับของเรา มันช่างตรงกันข้ามจริงๆ ครับ

เรื่องแรก ที่ฟินแลนด์ จะให้เด็กเรียนเมื่ออายุ 6-7 ขวบ เขาไม่เน้นโรงเรียนอนุบาล เพราะอยากให้เด็กอยู่กับครอบครัว เขาเชื่อว่าครอบครัวให้ความรัก ความรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรม สร้างสิ่งดีงามให้เด็กได้ดีกว่าโรงเรียนอนุบาล

ส่วนบ้านเรา แข่งกันเข้าอนุบาล เดี๋ยวนี้มีติวเข้าอนุบาลกันแล้ว

เรื่องที่ 2 เด็กที่นี่เรียนไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมง (ในระดับประถม) ด้วยแนวคิดที่จะให้เด็กมีเวลาทำสิ่งที่ชอบกิจกรรมที่สนใจ

ส่วนเด็กไทย อัดกันเข้าไป

เรื่องที่ 3 ห้องเรียนเขากำหนดให้มีเด็กห้องละ 12 คนมากสุดก็ 20 คนครับ โรงเรียนยิ่งดีก็ยิ่งจำกัดจำนวนเด็กต่อห้อง เพราะเขาจะพัฒนาคน และคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เขาอยากพัฒนาศักยภาพที่เด็กแต่ละคนมี การดูแลเป็นรายคนจึงสำคัญ

ส่วนของเรา บางโรงเรียน ห้องละ 50 คนครับ

เรื่องที่ 4 เขาไม่ให้เกรดเฉลี่ยมาเป็นตัวสร้างความภูมิใจ หรือ อับอายให้เด็ก การเรียนคือการพัฒนาแต่ละคนไม่ใช่การแข่งขัน ประเทศนี้จึงไม่มีเกรดเฉลี่ยครับ

เรื่องที่ 5 การสอบ เขาจะไม่ใช้ข้อสอบมาตรฐาน มาเป็นตัววัดนักเรียนทั้งประเทศ เขาให้โรงเรียนกำหนดข้อสอบที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโรงเรียน

เรื่องที่ 6 เขาจ้างผู้อำนวยการมาบริหาร และให้กรรมการโรงเรียนดูแล ผลงานไม่ดีก็เชิญออกได้ เขาไม่ได้ใช้ระบบราชการ ระบบวิ่งเต้นเอาใจนักการเมือง เอาใจผู้ใหญ่ในกระทรวง หรือใครมีอายุราชการนานแค่ไหน โรงเรียนเขาจึงมีคุณภาพครับ

เรื่องสุดท้ายของวันนี้ (ความจริงมีอีกเยอะครับ) คือ ครูของเขาทุกคนตั้งใจอยากเป็นครู คนที่เก่งที่สุดของประเทศจะแข่งกันเป็นครู ครูทุกคนจบการศึกษาด้านครูในระดับปริญญาโท ส่วนใครเรียนด้านอื่นก็ต้องไปต่อ ป.โทด้านครูครับ จึงมาสมัครสอนได้

แค่นี้คงพอมองออกนะครับว่าเราทำการศึกษาตรงข้ามเขาขนาดนี้ผลงานมันเลยออกมาตรงข้ามกันครับ

เรื่องโดย : อ.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น